สัปดาห์ที่ผ่านมามีเรื่องใหญ่ๆ ที่เป็นข่าวเล็กๆ คือกระแสเรียกร้องขอสมบัติคืนที่กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่ดังมากพอที่สำนักข่าวบ้านเราจะเอามานำเสนอ
กระแสนั้นเกิดขึ้นจากประเทศในทวีปแอฟริกา เรียกร้องให้บรรดาประเทศยักษ์ใหญ่ในยุโรป นำทรัพย์สมบัติทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแอฟริกันจำนวนมหาศาลคืนสู่ทวีปแอฟริกา หลายแสนหรืออาจจะนับล้านชิ้น ซึ่งคนยุโรปอีกจำนวนไม่น้อยก็เห็นด้วย (ส่วนหนึ่งก็อาจจะเริ่มรู้สึกละอายในบรรพชนของตนเอง)
หลังจากประเทศตะวันตกค้นพบทวีปแอฟริกาในยุคโบราณ ด้วยความรู้,อำนาจ และกำลังอาวุธที่เหนือกว่า สิ่งที่ตามมาคือ การยึดเอาแผ่นดินของพวกเขามาเป็นอาณานิคม สูบกินทรัพยากรในแอฟริกา ฉกฉวยอย่างไม่คำนึงถึงคุณธรรม และปล้นสะดมทรัพย์สมบัติมีค่ามากมาย ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรม บ่งบอกวิถีชีวิตความเป็นอยู่ รากฐานความเป็นมา รวมถึงทรัพย์สินทางประวัติศาสตร์
เกือบทุกประเทศในแอฟริกาสูญเสียวัตถุทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดในช่วงการรุกรานและตามมาด้วยอาณานิคมของประเทศตะวันตก ข้าวของที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์จากแอฟริกา กระจายอยู่ตามพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติของประเทศต่างๆ ทั่วยุโรป หลายทศวรรษที่ผ่านมา มีรับการเรียกร้องซ้ำๆจากประเทศในอัฟริกาให้คืนสมบัติของพวกเขา แต่ประเทศตะวันตกก็คล้ายเกิดอาการหูตึงโดยถ้วนหน้า
ในปีพ.ศ. 2558 มีการวางแผนระยะยาวในชื่อ Agenda 2063 ร่วมกันโดย สหภาพแอฟริกา หรือการรวมกันของประเทศในทวีปแอฟริกา ซึ่งหนึ่งในเรื่องสำคัญลำดับต้นๆ คือ การปกป้องมรดกทางวัฒนธรรม โดยกำหนดว่า สิ่งของจากแอฟริกาทั้งหมดควรจะถูกคืนสู่ทวีปแอฟริกาภายในปีพ.ศ.2568 หรือภายใน 10 ปี
แต่การดึงอ้อยออกจากปากช้าง ง้างเนื้อจากปากเสือ หรือดึงหมูออกจากปากหมา ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
ในปีพ.ศ. 2561 มีการทำรายการวัตถุทางวัฒนธรรมแอฟริกา ยืนยันว่า ยังมีวัตถุที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของแอฟกาอยู่นอกทวีประหว่าง 90% ถึง 95% ขณะที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติของแอฟกาเองมีไม่เกินกว่า 3,000 ชิ้น!
กระทั่งถึงปี 2020 นักประวัติศาสตร์ ศิลป์ประเมินว่า วัตถุทางวัฒนธรรมแอฟริกายังคงเก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของทางการและแกลเลอรี่เอกชนต่างๆในอังกฤษอีกเกือบ 70,000 ชิ้น อย่างไรก็ตามในการประเมินไม่ได้บอกเกี่ยวกับสถานการณ์แวดล้อมว่า พวกมันมาลงเอยที่อังกฤษได้ยังไง
แต่ก็คิดได้ไม่ยาก แม้ว่าจะมีบางส่วนมาจากการซื้อ การประมูล แต่มันก็เริ่มต้นจากการยึดและขโมยมาจากแอฟริกาตอนปลายศตวรรษที่ 19 เป็นจำนวนมหาศาล
อาณาจักรเยอรมันก็ไม่เบา แม้จะมีช่วงเวลาของอาณานิคมสั้นๆในแอฟริกา แต่ก็มีศิลปวัตถุ, ศาสนวัตถุ, รูปปั้น, เครื่องประดับ และเครื่องมือในการทำงานจำนวนไม่น้อยเก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่เบอร์ลิน, สตุ๊ทการ์ทโดยเฉพาะของที่มาจากนามิเบียและคาเมรูน มีมากกว่า 40,000 ชิ้น
ช่วงยุครุ่งเรืองของอาณานิคม ฝรั่งเศสยึดศิลปะแอฟริกามากกว่า 90,000 ชิ้น ส่วนใหญ่ของจำนวนนี้ถูกเก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Musee du quai Branly ในปารีส นอกจากนี้ยังกระจายอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของรัฐและหอศิลป์ส่วนตัวหลายแห่ง ศิลปวัตถุเหล่านี้ หลายอย่างกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินฝรั่งเศสที่ตีบตันทางด้านความคิดสร้างสรรค์
กระทั่งหลังจบยุคอาณานิคม คนฝรั่งเศสยังคงพยายามนำเข้าศิลปวัตถุจากแอฟริกา อย่างเช่น ในปี 2005 และ 2007 วัตถุมรดกทางวัฒนธรรมชนชาติมาลีมากกว่า 10,000 ชิ้น ถูกสกัดกั้นที่สนามบินปาริส ส่วนใหญ่มีอายุย้อนไป 8,000 ปี
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาย หรือพูดเอาเท่ เอ็มมานูเอล มาครง ได้ปราศรัยที่ประเทศเบอร์กินาฟาโซ ในแอฟริกาตะวันตก เมื่อปี 2560 ว่า เป็นเรื่องรับไม่ได้ที่มรดกทางวัฒนธรรมของทวีปแอฟริกายังคงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ในฝรั่งเศส และสัญญาว่าจะคืนทั้งหมดภายใน 5 ปี
แต่ผ่านไป 6 ปีกว่าถึงตอนนี้ฝรั่งเศสคืนวัตถุทางวัฒนธรรมให้ประเทศเบนิน 26 ชิ้น และ เซเนกัล อีก 1 ชิ้นหรือน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของศิลปวัตถุทั้งหมด!
เห็นข่าวนี้ก็นึกถึงคำพูดของคนไทยจำพวกหนึ่งที่ต้องการด้อยค่าของสถาบันกษัตริย์ไทย ที่ต่อสู้เพื่อเอาประเทศให้รอดจากการเป็นเมืองขึ้นจากประเทศตะวันตก โดยใช้คำพูดเหมือนสูตรสำเร็จว่า “ประเทศไทยไม่เจริญเพราะไม่เคยเป็นเมืองขึ้น”
ก็ตัวอย่างจากประเทศในทวีปแอฟริกานี่ไง นอกจากจะไม่เจริญแล้ว ยังถูกปล้นไปยันรากของชาติและเผ่าพันธุ์
ทิวา สาระจูฑะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี