แม้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยพังทลายไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกคอมมิวนิสต์จะหมดไปจากสังคมไทยหรือจากหัวคนที่นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ สังคมไทยจึงมีคอมมิวนิสต์เรื่อยมาจนปัจจุบัน และพยายามจะ “คายตะขาบ” ใส่ปากคนรุ่นต่อๆ มา! เพื่อสืบทอดอุดมการณ์ของพวกตน(ลัทธิคอมมิวนิสต์)
มันได้ผลมาจนวันนี้
แตกต่างกันเพียงคอมมิวนิสต์ยุคนั้นส่วนใหญ่มีอุดมการณ์เข้มข้นมากแม้มาจนถึงวันนี้ และจะตายคาอุดมการณ์เช่นเดียวกับคนที่ตายล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ส่วนคนรุ่นต่อๆ มาที่กลืนตะขาบนั้นโดยรวมอุดมการณ์ก็จืดจางลงมากแล้ว เพราะเกิดและมีชีวิตอยู่ในยุคที่สุขสบาย บ้างก็รู้ว่ามันไม่สามารถจับปืนปฏิวัติให้สำเร็จได้ ป่าก็ไม่มีให้เข้าเหมือนยุคแรก
ประการสำคัญ ประเทศที่ปฏิวัติสำเร็จเป็นสังคมนิยมในศตวรรษที่แล้วอย่างจีนสหภาพโซเวียต ลาว เขมร เวียดนามนั้นต่างก็พ่ายแพ้ต่ออุดมการณ์ของตนเสียเอง เพราะสร้างสังคมให้เป็นไปตามอุดมการณ์ไม่ได้มันฝืนธรรมชาติของมนุษย์ จึงรับเอาระบบทุนนิยมที่ลัทธิมาร์กซ์สอนว่าเป็นศัตรูที่กดขี่ขูดรีดเข้ามาใช้ในการพัฒนาประเทศ! มีนายทุนขุนศึกยุคใหม่ ส่วนกษัตริย์นั้นถูกการปฏิวัติกำจัดไปแล้วและไม่อาจหวนคืนได้อีก
ที่ปฏิวัติกันมานั้นก็ล้มหายตายจากกันทั้ง 2 ฝ่าย สูญเสียเวลาและทรัพยากรไปอย่างเปล่าเปลือง เป็นการลงทุนที่ขาดทุนย่อยยับ
แล้วทำไมจึงมีพวกคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยยังอยากจะปฏิวัติอยู่อีก?
เหตุผลหลักๆ ก็คือ
ลัทธิมาร์กซ์นั้นเป็น “ยาเสพติด” ของจริงมันรุนแรงยิ่งกว่าที่พวกเขากล่าวหาว่า “ศาสนาเป็นยาเสพติด” มากนัก!
ยาเสพติดอย่างยาบ้า เฮโรอีน นั้นคนเสพจะเคลิ้มฝัน โลกสวยงามรื่นรมย์ การเสพลัทธิมาร์กซ์นั้นก็ทำนองเดียวกัน เห็นภาพสังคมสวยงามรื่นรมย์...ทุกคนมีกินมีใช้ มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ทุกคนทำงานอย่างทุ่มเทเสียสละเพื่อส่วนรวม สังคมจึงมีของกินของใช้เหลือเฟือ ไม่มีรัฐบาลปกครองทุกคนปกครองดูแลกันเองและอยู่กันอย่างผาสุก ฯลฯ อย่างที่ดร.ปรีดีเรียกว่า “สังคมพระศรีอาริย์”
พวกหัวขบวนส้มนั้นก็เสพติดลัทธิมาร์กซ์เช่นกัน แต่พวกเขาก็รู้ว่าไม่สามารถปฏิวัติสังคมไทยให้สำเร็จได้ และแม้จะสำเร็จก็ไม่สามารถสร้างสังคมตามอุดมการณ์ของลัทธิมาร์กซ์ได้ ประการสำคัญพวกเขาเป็นนายทุนและอยู่ในครอบครัวนายทุนแล้ว
ระบบทุนนิยมที่เป็นศัตรูกับลัทธิมาร์กซ์จึงได้รับการยกเว้น!
เหลือเพียงขุนศึกฝ่ายอนุรักษนิยม(ทหาร) กับพระมหากษัตริย์เท่านั้นที่เป็นศัตรูของพวกเขา (ไม่ใช่ของลัทธิมาร์กซ์อีกต่อไปเพราะลัทธิมาร์กซ์ต้องมีระบบทุนนิยมเป็นศัตรูด้วย) พวกเขาจึงถูกเรียกว่า “ลิเบอรัล”
คือ “ระบอบประชาธิปไตยที่มีประธานาธิบดี”ที่มาจากการเลือกตั้งเป็นประมุข
ทำไมต้องมีประธานาธิบดีเป็นประมุข ทั้งที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างในปัจจุบันนักการเมืองก็สามารถทำงานได้เต็มความสามารถอยู่แล้ว?
คำตอบของพวกเขาก็คือ “ไม่ก้าวหน้า ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ทันสมัย” ซึ่งเป็นเหตุผลที่เลื่อนลอยอย่างคนเมายาเสพติด เพราะประเทศที่เลือกตั้งประธานาธิบดีก็ไม่ได้ดีไปกว่าประเทศที่มีกษัตริย์เป็นประมุขมันขึ้นอยู่กับความสามารถและความจริงใจของนักการเมืองเป็นสำคัญ
เหตุผลที่เป็นจริงมากกว่านั้นก็คือ พวกเขาเกลียดชังกษัตริย์ตามที่ลัทธิมาร์กซ์สอนไว้ เรียกว่า “เกลียดชังตามทฤษฎี” หรือ “ทฤษฎีทำให้เกลียดชัง” และอาการเมาค้างยาเสพติดที่หลอนว่า เมื่อไม่มีกษัตริย์แล้วประเทศจะไม่มีปัญหาเรื่องการกดขี่ขูดรีด การปิดกั้นกดทับที่ท่องกันเป็นอาขยานอีกต่อไป
เหตุผลสำคัญที่สุดก็คือ พวกเขากระสันอำนาจถึงขีดสุด จึงต้องการเป็นประมุขของประเทศเสียเอง ซึ่งมันเป็นธรรมชาติของสัตว์โลกทุกเผ่าพันธุ์ที่กระสันจะเป็น “จ่าฝูง” แต่สัตว์โลกที่เรียกว่า “คน” นั้นชั่วร้ายและซับซ้อนกว่า เพราะมีความคิด มีความเชื่อ มีหลักการ มีแผนการ และเป่าหูกันได้
เมื่ออยากเป็นประมุขเสียเองก็ต้องทำลายประมุขในปัจจุบัน ทำลายด้วยการปฏิวัติไม่ได้ก็ทำลายด้วยนักการเมือง ด้วยกฎหมาย ด้วยลิ่วล้อที่กักขฬะโง่งั่ง กลยุทธ์ที่ทำลายนั้นเรียกว่า “เซาะกร่อนบ่อนทำลาย” ดังที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินไปแล้ว
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี