โรคซึมเศร้าคืออะไร และแนวทางการดูแลรักษาโรคนี้อย่างถูกวิธีคืออะไร
โรคซึมเศร้าคืออะไร
ก่อนอื่นควรต้องแยกให้ได้ว่า อะไรคือ อารมณ์ซึมเศร้า และ อะไรคือ โรคซึมเศร้า อารมณ์ซึมเศร้าเป็นอารมณ์ธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนเพราะในชีวิตของคนทุกคนย่อมมีช่วงเวลาเศร้า หรือ ทุกข์ใจบ้างเป็นธรรมดา
แต่เมื่อไหร่ถึงจะบอกว่า ความเศร้านี้ ไม่ใช่ปฏิกิริยาทางใจธรรมดาแต่คือ “โรคซึมเศร้า”
โรคซึมเศร้า ประกอบด้วยอาการต่างๆ ดังนี้
1.อารมณ์ซึมเศร้า หงุดหงิด ไม่สดชื่น มีอาการเกือบตลอดวัน
2.ขาดความสนใจสิ่งรอบข้าง สิ่งที่เคยชอบก็ไม่สนใจ เบื่อหน่ายไปหมด
3.เบื่ออาหาร น้ำหนักลด กินน้อยลง หรือ บางคนอาจเป็นแบบตรงข้ามคือ กินจุมากขึ้น น้ำหนักเปลี่ยนแปลง ร้อยละ 5 ใน 1 เดือน
4.นอนไม่หลับ นอนได้น้อยลง หรือบางคนตรงข้ามกลายเป็น นอนมากขึ้น นอนทั้งวัน
5.เชื่องช้า ทำอะไรก็เชื่องช้าไปหมด หรือ บางคนอาจเป็นตรงข้ามกระวนกระวายกว่าปกติ
6.รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรง
7.ตำหนิตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า หรือรู้สึกผิดง่ายกว่าปกติ
8.สมาธิเสีย ทำอะไร ไม่ค่อยมีสมาธิ รู้สึกลังเล สงสัยมากขึ้นกว่าปกติ
9.คิดเรื่องการฆ่าตัวตาย หรือ อยากฆ่าตัวตาย
การบอกถึงว่าน่าจะมีโรคซึมเศร้าคือ มีอาการ 5 อาการจาก 9 อาการที่กล่าวมา และต้องเป็นต่อเนื่องทุกวันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป จึงจะสงสัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า
โรคนี้ไม่ได้เป็นโรคที่น่ากลัว มีทางรักษาให้หายได้ยิ่งมารักษาแต่เนิ่นๆ จะยิ่งรักษาได้ผลดี
สาเหตุการเกิดโรค
หลักฐานทางการแพทย์ในขณะนี้ พบว่าโรคนี้เกิดจากสารสื่อประสาทในสมองที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์เสียสมดุลสารสื่อประสาทนั้นชื่อว่า เซโรโทนิน (serotonin)และ นอร์อิพิเนฟริน (norepinephrine)
การรักษาโรคซึมเศร้า
1.การรับประทานยาต้านเศร้า
เนื่องจากโรคนี้ เกี่ยวข้องกับสารสื่อประสาทในสมองด้านอารมณ์เศร้า คือ เซโรโทนิน (serotonin)และนอร์อิพิเนฟริน(norepinephrine) เสียสมดุลไปจึงทำให้เกิดความซึมเศร้ามากผิดปกติการรับประทานยาต้านเศร้าจะช่วยให้สารสื่อประสาทเหล่านี้กลับมาสมดุล เมื่อสารเหล่านี้กลับสู่ภาวะปกติ อารมณ์ก็จะกลับมาเป็นปกติ
2.การรักษาทางจิตใจ
เช่น การทำจิตบำบัด การปรับวิธีคิด เป็นต้นซึ่งเป็นวิธีรักษาที่สำคัญควบคู่กับการรับประทานยาต้านเศร้า
3.การอยู่โรงพยาบาล
ในกรณีที่มีความเสี่ยงเรื่องการฆ่าตัวตายการอยู่โรงพยาบาลเป็นสิ่งจำเป็น และปลอดภัย เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงภาวะวิกฤติ
4.การดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยซึมเศร้า
4.1 ไม่ควรตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ ในชีวิต เพราะ โอกาสตัดสินผิดพลาดสูงมาก เพราะอารมณ์ไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ
4.2 พยายามอย่าคิดอะไรมากนัก เพราะยิ่งคิดจะวนกลับไปเป็นด้านลบ ด้วยตัวโรค
4.3 หากิจกรรมสบายๆ ทำ ที่ไม่เครียดไม่กดดัน
4.4 อย่ากดดัน เร่งรัดตัวเองว่าต้องรีบหายสิ่งสำคัญคือการรักษาตัวเองอย่างถูกวิธี จะช่วยให้อาการดีขึ้นเป็นลำดับ
5.สำหรับญาติหรือ คนใกล้ชิด
ความรักและความเข้าใจ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดไม่ควรคาดหวัง หรือกดดันว่าผู้ป่วยว่าต้องหายไวๆหรือบอกว่าไม่เป็นไร ทำใจสบายๆ จะดีขึ้นเอง ผู้ป่วยฟังกลับจะยิ่งรู้สึกแย่ลง เหมือนคนพูดไม่เข้าใจ เพราะโรคนี้เกิดจากสารสื่อประสาทในสมอง จำเป็นต้องใช้เวลาในการรักษาตามขั้นตอนต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น
บทความโดย ผศ.พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล
รับรองโดย ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี