ทุกวันนี้เมื่อพูดถึงมลพิษทางอากาศของประเทศไทย คงไม่มีใครไม่รู้จักมลพิษของฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ ที่เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ฝุ่นควันจราจร การคมนาคม การเผาในที่โล่ง หรือจากอุตสาหกรรมต่างๆ เจ้าฝุ่นตัวนี้มีขนาดเล็กกว่าเส้นผมประมาณ 25 เท่า เมื่อหายใจเข้าไปสามารถซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ทันที ก่อให้เกิดปัญหากับสุขภาพทั้งในระยะสั้นโดยเฉพาะโรคภูมิแพ้ของทางเดินหายใจ และปัญหาที่น่ากลัวมากมายในระยะยาว เช่นโรคมะเร็งปอด โรคหัวใจ และภาวะเส้นเลือดตีบหรือตันในร่างกาย
แน่นอนว่าในวันที่มลพิษทางอากาศมาเยือนเราถึงหน้าบ้าน และมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นแบบที่เราไม่ทันตั้งตัว ในฐานะมนุษย์เดินดินแบบเราๆ คงต้องทำความเข้าใจและเตรียมรับมือเพื่อสุขภาพของตัวเราเอง จึงขอเสนอวิธีในการใช้ชีวิตอยู่กับช่วงที่เจ้าฝุ่นตัวนี้ยังวนเวียนอยู่รอบตัวเราและมีทีท่าว่าจะกลับมาเยี่ยมเยือนเราอยู่เรื่อยๆ
ตรวจสอบคุณภาพอากาศ ปัจจุบันเราสามารถตรวจสอบสถานการณ์ฝุ่นควันในพื้นที่ต่างๆ ได้เองจากอินเตอร์เนต และแอพพลิเคชั่นของโทรศัพท์มือถือ เช่น Air4Thai ของกรมควบคุมมลพิษ และ AirVisualของต่างประเทศซึ่งมีตัวเลขที่น่าสนใจอยู่สองตัวคือ AQI (Air Quality Index) เป็นดัชนีคุณภาพอากาศที่คำนวณจากปริมาณของฝุ่นควันและก๊าซพิษต่างๆ ในภาพรวมไม่จำเพาะเจาะจง ค่าที่มากกว่า 150 เป็นระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพในคนทั่วไป ส่วนผู้ที่ไวต่อฝุ่นหรือเป็นภูมิแพ้อาจจะได้รับผลกระทบตั้งแต่ค่าที่มากกว่า 100 แต่หากจะจำเพาะต่อฝุ่น PM2.5 ก็ต้องไปดูที่ค่าของปริมาณ PM2.5 ในอากาศ หากเกิน 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรก็ควรหาทางป้องกันตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกสิ่งที่ควรรู้คือค่าพวกนี้เป็นค่าที่แสดงย้อนหลังในระยะเวลาหนึ่ง ไม่ใช่ค่าที่วัดปัจจุบัน ทำให้เราต้องอาศัยการดูแนวโน้มและคาดการณ์ล่วงหน้า หรือในปัจจุบันก็มีอุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพอากาศขนาดพกพา ที่เราสามารถซื้อใช้ได้เอง ก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตที่มีความเสี่ยง หรือในผู้ป่วย
โรคทางเดินหายใจ
หลีกเลี่ยงพื้นที่มลพิษ ง่ายที่สุดที่จะไม่ต้องเจอกับมลพิษคือหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าพื้นที่ที่ คุณภาพอากาศไม่ดี หากจำเป็นก็ควรหลีกเลี่ยงการอยู่บริเวณโล่งแจ้งเป็นเวลานาน เช่น บริเวณที่มีการจราจรคับคั่ง หรือการออกกำลังกายกลางแจ้ง สำหรับท่านอาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ ที่คุณภาพอากาศไม่ดีในขณะนั้น ก็ควรปิดประตูและหน้าต่างเพื่อป้องกันการแทรกซึมของฝุ่นควันเข้าสู่ที่พักอาศัยโดยเฉพาะในช่วงเช้าของวัน ที่หมอกจางๆ และควัน คล้ายกันจนบางทีไม่อาจรู้! หากไม่แน่ใจก็ตรวจสอบคุณภาพอากาศอีกครั้งก่อนออกจากบ้าน
หลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องใส่หน้ากาก หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเดินออกนอกอาคาร ในพื้นที่ที่คุณภาพอากาศไม่ดี การสวมใส่หน้ากาก N95 ที่ถูกต้องแนบชิดกับใบหน้าเท่านั้น ถึงจะสามารถป้องกัน PM2.5 ได้ หากใส่ได้ถูกต้อง เมื่อเอามืออังรอบหน้ากากจะต้องไม่มีลมรั่วออกมารอบๆ หน้ากาก แต่ในช่วงที่หน้ากาก N95 หาซื้อได้ยาก ท่านอาจใช้หน้ากากอนามัยซ้อนกันสองชั้น หรือใช้ทิสชูพับสองชั้นใส่เสริมด้านในของหน้ากากอนามัย ก็พอจะช่วยได้บ้างแต่ประสิทธิภาพก็ลดหลั่นกันไปสู้หน้ากาก N95 ไม่ได้ ที่สำคัญห้ามทำให้หน้ากากเปียกน้ำหรือมีความชื้น เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพการกรองลดลง
อากาศในบ้านต้องดี การทำความสะอาดภายในบ้านแนะนำให้ถูพื้นและเช็ดฝุ่นด้วยผ้าเปียก เพื่อป้องกันการกระจายของฝุ่นละอองขนาดเล็กหากบ้านของท่านมีเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุและอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ช่วงนอนหรือช่วงดูโทรทัศน์ที่ต้องนั่งอยู่ในห้องใดนานๆ ก็ควรอยู่ในห้องที่ปิดประตูหน้าต่างมิดชิดและเปิดเครื่องปรับอากาศ และขอให้ท่านทำความสะอาดตัวกรองของเครื่องปรับอากาศอยู่สม่ำเสมอ ก็จะสามารถลดปริมาณของ PM2.5 ได้บางส่วน
เครื่องฟอกอากาศ ถึงแม้ว่าเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ๆ จะมีคุณสมบัติในการกรอง PM2.5 ได้บางส่วน แต่ประสิทธิภาพการกรองก็ไม่เทียบเท่าการใช้เครื่องฟอกอากาศที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ หากท่านมีกำลังทรัพย์หรือมีปัญหาโรคของระบบทางเดินหายใจ เครื่องฟอกอากาศก็แลดูเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ การเลือกซื้อท่านต้องดูเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงซึ่งมีตัวกรองอากาศแบบ High-Efficiency Particulate Air Filter Arrestance(HEPA) ที่มีอัตราการกรอง H13 หรือสูงกว่า ที่สำคัญอย่าลืมเลือกซื้อขนาดของเครื่องที่เหมาะสมกับพื้นที่ห้องที่ท่านจะเอาเครื่องไปใช้งานด้วย
ลดการปล่อยควัน อย่าลืมว่าท่านเองก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิด PM2.5 นี้ด้วยเช่นกัน เช่น การใช้ยานพาหนะ การจุดธูปเทียน ควันบุหรี่ การจุดเตาถ่าน การเผาสิ่งต่างๆ ในที่โล่งแจ้ง หรืออย่างน้อยที่สุดการใช้ไฟฟ้าของเราๆ ก็มีการปล่อย PM2.5 ในกระบวนการผลิต หากท่านสามารถลดการใช้ดังกล่าวได้ เช่น ใช้รถส่วนตัวเดินทางหลายคน ไหว้พระไหว้เจ้าก็ไม่ต้องจุดธูป หรือหากจะจุด ครอบครัวเดียวก็จุดชุดเดียว ปิดไฟเมื่อเลิกใช้ หรืออยู่บ้านช่วงกลางวันก็เปิดผ้าม่านใช้แสงจากธรรมชาติบ้าง สำหรับผู้สูบบุหรี่ก็อาจถือเป็นฤกษ์ดีในการงดสูบบุหรี่ไปในตัว ลด PM2.5 แล้วยังส่งผลดีต่อสุขภาพตัวเองด้วย
ปลูกต้นไม้ ต้นไม้นอกจากจะสังเคราะห์แสงให้ออกซิเจนในอากาศแล้ว ยังสามารถดูดซับฝุ่นละอองที่ผิวของใบ โดยต้นไม้ที่มีผิวใบหยาบ มีขน หรือหากมีกิ่งก้านพันซ้อนกัน ก็จะมีประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นที่มีขนาดเล็กได้ดี ตัวอย่างเช่น สร้อยอินทนิล เล็บมือนาง หางนกยูงไทย ทองอุไร หรือจะเป็นไม้ต้น เช่น ตะขบฝรั่ง เสลา แคแสด ก็มีให้ท่านเลือกปลูกตามความชอบ การปลูกต้นไม้ใหญ่ช่วยในการดูดซับมลพิษในที่โล่งแจ้ง แต่การปลูกไม้พุ่มจะช่วยดูดซับมลพิษจากควันท่อไอเสียบนท้องถนนได้ดี องค์การอนามัยโลกระบุไว้ว่าเมืองที่ดีควรมีพื้นที่สีเขียวเฉลี่ย 9 ตารางเมตรต่อคน อันนี้คงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องร่วมมือกันทั้งภาครัฐและประชาชน เพราะท่านคนเดียวปลูกจนมือหัก ก็คงไม่สามารถแก้ปัญหาฝุ่นควันไปได้
ปัญหา PM2.5 เป็นปัญหาใกล้ตัวที่สำคัญ และปฏิเสธไม่ได้ว่าเราทุกคนก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลาจึงเป็นสิ่งที่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือ และปรับรูปแบบการใช้ชีวิตไปพร้อมๆ กัน สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องตระหนักว่าปัญหานี้เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนจำเป็นจะต้องให้ความร่วมมือร่วมใจในการแก้ปัญหาระยะยาว และต้องไม่ลืมว่าทุกการกระทำของเราย่อมส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็อาจจะกลับมาทำร้ายเราได้ในอนาคต
แหล่งอ้างอิง : นพ.กำพู ฟูเฟื่องมงคลกิจ
สมาคมศัลยแพทย์ทรวงอกแห่งประเทศไทย
ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี