เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563 ผมได้อ่าน Bangkok Post หน้าแรก ที่มีรายงานพิเศษหัวข้อ “Klong Toey’s Struggleamid virus” หรือการต่อสู้ชีวิตของชาวคลองเตย ท่ามกลางไวรัส COVID-19 สรุปก็คือ มีประชาชนจำนวนมาก (รวมทั้งจากทั่วประเทศด้วย) ที่ตกงาน ทำให้ไม่มีรายได้ที่จะเลี้ยงดูครอบครัว ตั้งแต่อาหารการกิน จนถึงการศึกษาที่ดี (สภากาชาดไทยได้นำชุดธารน้ำใจไปแจกกับประชาชนผู้เดือดร้อนเป็นแสนๆ ชุด) ของลูกหลาน อ่านต่อไปจึงทำให้ผมรู้จัก EEF หรือ Equitable Education Fund หรือ กสศ. เป็นครั้งแรก กสศ.มีชื่อย่อมาจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และผมยังทราบต่อไปว่ามีคุณหมอศุภกรบัวสาย เป็นผู้จัดการกองทุน ผมจึงโทรไปถามข้อมูลจากคุณหมอและเปิด internet หาข้อมูลเกี่ยวกับ กสศ.
กสศ.เป็นกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ได้มีการจัดตั้งขึ้นตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระ (โดยมีท่าน ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา เป็นประธาน) เพื่อการปฏิรูปการศึกษาโดยปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 54 โดยมี พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาพ.ศ.2561 ที่ได้ประกาศใช้บังคับเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2561 โดยมีวัตถุประสงค์ ตามมาตรา 5 ดังนี้ 1) ส่งเสริมเด็กปฐมวัยให้มีพัฒนาการสมวัยและพร้อมเข้าสู่ระบบการศึกษา 2) ช่วยเหลือและสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และผู้ด้อยโอกาสให้สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน 3) สนับสนุนและช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ และผู้ด้อยโอกาสทุกช่วงวัยให้ได้รับการศึกษาและพัฒนาศักยภาพ ทักษะในการประกอบอาชีพตามความถนัด 4) ส่งเสริมสถานศึกษาให้มีการเรียน การสอนที่เอื้อต่อการพัฒนาผู้เรียน ตามความถนัดและศักยภาพของตนเอง 5) เสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพครูให้มีความสามารถ การเรียนการสอน พัฒนาเด็ก และเยาวชนตามพื้นฐานศักยภาพที่แตกต่างกัน 6) ศึกษาวิจัยแนวทางการพัฒนาครูต้นแบบที่มีความสามารถในการจัดการเรียนการสอนสามารถพัฒนาผู้เรียน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา7) ศึกษาวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา สนองความต้องการทางด้านกำลังแรงงานและยกระดับความสามารถของคนไทย
สาเหตุของความเหลื่อมล้ำในการศึกษา คือ คุณภาพ หรือมาตรฐานของสถานศึกษา คุณภาพหรือประสิทธิภาพของครู และฐานะเศรษฐกิจหรือสังคม
ความยากจนทำให้เด็กไทยมากกว่า 5 แสนคน หลุดออกนอกระบบไปแล้ว และอีก 2 ล้านคน มีแนวโน้มไม่ได้เรียนต่อ และมีเยาวชนเพียง 5% จากครอบครัวยากจนกลุ่ม 20% ล่างสุดของประเทศมีโอกาสเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา กลุ่มนี้ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาสูงมากเมื่อเทียบกับรายได้ สูงกว่าครอบครัวร่ำรวยถึง 4 เท่า โดยทั้งหมดนี้ส่งผลให้ประเทศไทยเสียโอกาสทางเศรษฐกิจสูงถึง 2 ล้านล้านบาทต่อปี และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ รวมทั้งการบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการศึกษา (SDG4)
กสศ.มีภารกิจในการช่วยเหลือดูแลกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสนับตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยแรงงานให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา เพื่อบรรเทาความยากจนอันเป็นรากเหง้าของปัญหาอื่นๆ ซึ่งหากแก้ไม่ได้ ปัญหานี้จะส่งทอดวนเวียนไปข้ามชั่วคน จากพ่อแม่ ส่งต่อไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานได้เพราะมีกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงการศึกษา หรือได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพต่างกัน
การทำให้เรื่องนี้สำเร็จได้เป็นรูปธรรม ต้องใช้นโยบายที่มุ่งสร้างความเสมอภาค โดย กสศ.เป็นองค์กรที่มีบทบาทในการพัฒนาตัวแบบ และองค์ความรู้ในเรื่องนี้ เพื่อหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ขยายผล อันจะนำไปสู่ผลลัพธ์เปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กและเยาวชนได้อย่างเป็นรูปธรรม
ผมมีความเห็นมานานแล้วว่าประเทศชาติจะมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนได้ ประชาชนทุกคนต้องมีการศึกษา ต้องมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่ดี มีคุณภาพด้วย ถ้าประชาชนทุกคนมีโอกาสเช่นนี้ตามความถนัดของตนเอง ตามที่ประเทศชาติ ตลาดต้องการ ไม่จำเป็นต้องจบปริญญาเสมอไป เป็นอาชีวะก็ได้ซึ่งอาชีวะเองประเทศก็มีความต้องการ และยังขาดอีกเป็นแสนคน เราอาจได้เรียนฟรี แต่ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งถ้าที่บ้านยากจน เด็กอาจจะต้องช่วยพ่อ แม่ ทำมาหากิน เลยไม่ได้ไปโรงเรียน ฉะนั้นเราต้องดูแลเด็กในทุกๆ เรื่องด้วย ไม่ใช่ให้เรียนฟรี ให้ทุนการศึกษาแก่ทุกๆ คนที่เดือดร้อน แต่ให้เท่าๆ กัน เราต้องให้ตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน
เรื่องนี้สำคัญมากยังมีต่ออีกครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี