ก่อนที่จะพูดถึงรายงานของ WHO เรื่องสถานะโรคตับอักเสบของโลก 2017 ผมขอกล่าวนำเกี่ยวกับเชื้อไวรัสตับอักเสบต่างๆ ที่สำคัญในโลกนี้ คือ เชื้อไวรัสตับอักเสบ A (Hepatitis A Virus หรือ HAV),เชื้อไวรัสตับอักเสบ B (Hepatitis B Virus หรือ HBV), เชื้อไวรัสตับอักเสบ C (Hepatitis C Virus หรือ HCV), เชื้อไวรัสตับอักเสบ E(Hepatitis E Virus หรือ HEV)
เชื้อ HAV, HEV สามารถทำให้เกิดโรคตับอักเสบเฉียบพลันได้ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะหายขาดไม่เป็นโรคเรื้อรัง ส่วนเชื้อ HBV, HCV ทำให้เกิดโรคตับอักเสบทั้งแบบเฉียบพลัน (acute hepatitis) เรื้อรัง (chronic hepatitis) ตับแข็ง (cirrhosis) และมะเร็งของเนื้อตับได้ (hepatoma หรือ hepatocellular carcinoma)
การติดต่อของเชื้อ HAV และเชื้อ HEV ติดต่อจากอุจจาระสู่ปาก หรือที่แพทย์เรียกว่า fecal – oral หรือจากอาหารที่มีเชื้อโดยเฉพาะอาหารทะเลที่ไม่สุก เช่น หอยต่างๆ
ส่วนการติดต่อของเชื้อ HBV, HCV นั้น ติดต่อจากเลือดและผลิตภัณฑ์เลือด (ซึ่งก็คือ น้ำเหลือง น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด ฯลฯ)วิธีการติดต่อของเชื้อ 2 ตัวนี้เหมือนกัน คือ ตอนทารกเกิดจากแม่ที่มีเชื้อสู่ลูก จากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อ จากการใช้เข็มฉีดที่สกปรกที่มีเชื้อร่วมกัน เช่น ในกลุ่มที่ใช้ยาเสพติด หรือการสัก การใช้แปรงสีฟัน มีดโกนหนวดร่วมกัน
ปัจจุบันนี้มีวัคซีนฉีดป้องกันเชื้อ HAV และเชื้อ HBV แล้ว ในประเทศไทยได้มีการฉีดวัคซีนป้องกัน HBV ตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 ในเด็กแรกเกิดฟรีทุกคน
ในการติดเชื้อ HBV นั้น ถ้าแม่มีเชื้อ ลูกจะได้เชื้อจากแม่ประมาณ 90% แต่โชคดีที่มีวัคซีนป้องกัน แต่ประเด็นมีอยู่ว่า ต้องฉีดวันแรกของการเกิดและต้องฉีด Hepatitis B immune globulin (HBIG) อีกด้วย
สำหรับการติดเชื้อ HCV ถ้าแม่มีเชื้อ จะส่งผ่านไปถึงลูกได้ไม่เกิน 10%แต่โชคร้ายคือ ยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อนี้ เชื้อนี้มีทั้งโชคดีและโชคร้าย โชคร้ายคือ ไม่มีวัคซีน โชคดี คือ ถึงแม้ไม่มีวัคซีน ถึงแม้แม่มีเชื้อ แต่แม่จะส่งเชื้อผ่านต่อไปให้ลูกเพียงไม่เกิน 10%
ส่วนเชื้อ B นั้นโชคไม่ดี คือ ถ้าแม่มีเชื้อ จะส่งต่อไปให้ลูกได้ถึง 90%แต่เทวดายังเอ็นดูพวกมนุษย์ด้วยการทำให้มีวัคซีนป้องกันเชื้อ HBVยารักษา HBV ยังไม่ดีเท่ายาที่รักษา HCV
โรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งของเนื้อตับ มีสาเหตุใหญ่ๆทั่วโลกเหมือนกันคือ จากโรคอ้วน จากแอลกอฮอล์ จากเชื้อไวรัส HBVและ HCV ฉะนั้นจากข้อมูลที่กล่าวมานี้มีเพียง 10% เท่านั้นของเชื้อHCV ที่มาจากแม่ที่มีเชื้อผ่านต่อมาให้ลูกที่ยังป้องกันไม่ได้ตรงนี้ เพราะยังไม่มีวัคซีนป้องกัน HCV ส่วนสาเหตุอื่นๆ สามารถป้องกันได้ ถ้าเรามีความรู้และมีวินัย
แต่ถ้าเราทำตามที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ ซึ่งก็คือ ไปตรวจดูว่าเรามีเชื้อ HBV, HCV หรือไม่ ถ้ามีก็ควรไปพบแพทย์ เพราะปัจจุบันนี้มียารับประทานที่สามารถรักษาเชื้อ HCV ให้หายขาดได้ถึงมากกว่า 90% รวมทั้ง WHO ยังจัดให้มี World Hepatitis Day หรือวันตับอักเสบโลกทุกปี คือ วันที่ 28 กรกฎาคมของทุกปี เพื่อเตือนให้ชาวโลกไปพบแพทย์เพื่อตรวจว่าตนเองมีเชื้อนี้หรือไม่ ถ้ามี แพทย์ก็จะสามารถรักษาเชื้อ HCV ให้หายขาดได้ โดยต้องไม่ให้มีเชื้อตอนตั้งครรภ์
สำหรับโรคตับที่เกิดจากโรคอ้วน ขอกล่าวสั้นๆ ว่าควรควบคุมให้ดัชนีมวลกาย หรือ Body Mass Index, BMI อยู่ไม่เกิน 23 (BMI คือ น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม/ความสูงเป็นเมตรกำลังสอง) และพุงชายหญิงไม่ให้ใหญ่กว่า 90,80 ซม.ตามลำดับ ด้วยการคุมอาหารและออกกำลังกาย
ส่วนแอลกอฮอล์ แนวทางปฏิบัติของสหราชอาณาจักร (UK-United Kingdom) แจ้งว่า ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์เลยจะดีที่สุด หรือถ้าจะดื่มไม่ควรดื่มมากกว่า 2 หน่วยแอลกอฮอล์ของ UK ต่อวัน ซึ่ง 1 หน่วยมี 8 กรัมแอลกอฮอล์ ปัญหาคือ 1 หน่วยแอลกอฮอล์ในประเทศต่างๆมีไม่เท่ากัน ในไทย 10 กรัม ในอเมริกา 14 กรัม ในญี่ปุ่น 19.75 กรัม โดยทั่วๆ ไป 1 หน่วยมักมีประมาณ 8-12 กรัมแอลกอฮอล์
วิธีคำนวณหน่วยแอลกอฮอล์ของอังกฤษ คือ จำนวนซีซีที่ดื่มx alcohol by volume (ABV ที่ข้างขวดมีบอก) / 1,000
2.5 หน่วยอังกฤษ = 20 กรัม alcohol จะแปลเป็นหน่วย alcohol USA = 20/14, ญี่ปุ่น 20/19.75 และเนื่องจากวิสกี้มี 40 ดีกรี ไวน์ 10-14 และเบียร์ 3-6
ฉะนั้น 1 หน่วย alcohol อังกฤษจึงมี 25 ซีซีวิสกี้ (เพราะ 25x40/1000 = 1)
(1 หน่วย alcohol USA จึงมี 43.75 ซีซีวิสกี้และ 1 หน่วย alcohol ญี่ปุ่น จึงมี 61.72 ซีซีวิสกี้)
80 ซีซี ไวน์ (เพราะ 80x12/1000 = ประมาณ 1)
200 ซีซีเบียร์ (เพราะ 200x5/1000 = 1)
ถ้า WHO สามารถทำให้หน่วย alcohol ทุกประเทศมีปริมาณ alcohol เท่ากัน จะเป็นประโยชน์มาก เพราะในขณะนี้ 1 หน่วย alcohol ของแต่ละประเทศจะมีปริมาณวิสกี้ หรือไวน์ หรือเบียร์ ที่ไม่เท่ากัน
ฉะนั้นโรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง มะเร็งตับ ส่วนใหญ่ป้องกันได้ ถ้าเรามีความรู้และมีวินัย แต่ต้องมีวินัยจริงๆ เพราะถ้าเราไม่ได้เชื้อ HCV จากแม่ และเรามีพฤติกรรมที่เหมาะสมเราจะไม่ได้เชื้อนี้อีกเลย (จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย จากการไม่ใช้ยาเสพติด) ฯลฯ
เห็นไหมครับว่าการป้องกันนั้นสำคัญมาก ดีกว่าไม่ป้องกันแล้วเป็นโรคตับแข็ง มะเร็งของตับ
ต่อไปผมจะเอารายงานขององค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับสถานะของโรคตับอักเสบในโลกที่ออกมาในปี 2017 (ข้อมูลของปี 2015)มาเรียนให้พวกเราทราบ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี