ข้อมูลจากแพทยสภา ณ 15 สิงหาคม 2565 พบว่ามีแพทย์ที่ขึ้นทะเบียนกับแพทยสภาที่มีชีวิตอยู่จำนวน 68,600 คน เป็นชาย 36,373 คน หญิง 32,227 คน พบว่าจากแพทย์ที่ติดต่อได้ 66,544 คนแพทย์อยู่ใน กทม. 32,077 คน ต่างจังหวัด 34,467 คน
จากข้อมูลแค่นี้จะเห็นได้ทันทีว่าการกระจายแพทย์ยังไม่ดีเท่าที่ควรกล่าวคือ 32,077 คน จาก 66,544 คน หรือ 48.20% อยู่ใน กทม. ซึ่งมีประชากรรวมกันแล้วคร่าวๆ คง 10 ล้านคน หรือมีแพทย์ 1 คนต่อประชากร 318 คน และมีแพทย์ 34,467 คนต่อประชากรในต่างจังหวัด 56 ล้านคน หรือแพทย์ 1 คนต่อประชาชน 1,625 คน
จากจำนวนแพทย์ที่ติดต่อได้ 66,544 คนต่อประชากรทั้งประเทศ 66 ล้านคน จะได้ค่าเฉลี่ยแพทย์ต่อประชากรทั้งประเทศอยู่ที่ 992 คน ซึ่งถือว่าไม่เลวทีเดียว สมัยที่ผมเป็นรองคณบดีฝ่ายกิจการนิสิตของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ (2524-2528) ซึ่งสมัยโน้นคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ดูแลโรงพยาบาลในภาคตะวันออกและอีสานใต้ คือ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ ศรีสะเกษ สุรินทร์ จำได้ดีว่าตอนนั้นที่ศรีสะเกษมีแพทย์ 1 คนต่อประชาชน 88,000 คน!
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงพูดเสมอว่า ถ้าเราสามารถเพียงแต่กระจายแพทย์ให้ไปอยู่ได้ทั่วประเทศ ประชาชนจะได้ประโยชน์ทันทีอย่างมากมาย แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะขึ้นอยู่กับสวัสดิการของแพทย์ ความก้าวหน้าทางด้านวิชาการ วิชาชีพ เงินเดือน และค่าตอบแทนอื่นๆ ความปลอดภัย และที่ผมพูดเสมอมา คือ โรงเรียนที่ดีพอสำหรับลูกๆ แพทย์ (และเจ้าหน้าที่อื่นๆ ด้วย) ถ้าประเทศไทยมีโรงเรียนที่ดี ได้มาตรฐานทั่วประเทศ อย่างเช่นที่ประเทศอังกฤษ ที่มีโรงเรียนประจำที่ดี มีชื่อเสียง กระจายอยู่ทั่วประเทศ มีโรงเรียนที่ดีทั้งภาครัฐ และเอกชนอยู่ในทุกจังหวัด ผมคิดว่าบรรดาแพทย์พยาบาล ทันตแพทย์ เภสัช และข้าราชการอื่นๆ คงยินดีมากกว่านี้ที่จะไปอยู่ต่างจังหวัด หรือกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดเมืองนอน เพราะถ้าที่แพทย์อยู่ไม่มีโรงเรียนที่ดีให้ลูกไปเรียนพอ แพทย์จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มในการส่งลูกไปเรียนที่ กทม. หรือ ณ เมืองใหญ่ๆ
สมัยหนึ่ง ช่วงที่ผมเป็นรองคณบดี (2524-2528) มีโครงการ MESRAP หรือ medical education for students in the rural area program หรือโครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท โดยเรารับเด็กนักเรียนจากจังหวัดต่างๆ ที่ได้รับการจัดสรรโควตาตามความจำเป็นของแต่ละจังหวัดเพื่อให้เด็กนักเรียนเข้าเรียนที่จุฬาฯ เช่น ถ้าที่สุรินทร์มี 2 ที่ เด็กในจังหวัดสุรินทร์จะแข่งกันเองในจังหวัดนี้ โดยไม่ต้องแข่งกับเด็กนักเรียนทั่วประเทศ เด็กที่เข้ามาได้ โดยภาพรวมมักจะมีความรู้อ่อนกว่าที่สมัครจากทั่วประเทศ แต่นี่เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กต่างจังหวัดในจังหวัดต่างๆ มีโอกาสเข้าเรียน โดยมีข้อแม้ว่า เมื่อเรียนจบแล้วต้องกลับไปอยู่ยังจังหวัดนั้นๆ ที่ได้โควตามาเรียน เด็กพวกนี้ในภาพรวม เท่าที่ทราบ เท่าที่จำได้ มีปัญหามากในการเรียน ในปีแรกๆ อาจารย์ต้องช่วยกันอย่างเต็มที่ แต่ในที่สุดก็เรียนไปได้ด้วยดี และปัจจุบันนี้ผมยังพบลูกศิษย์จากโปรแกรม MESRAP ที่เป็นแพทย์ผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นอย่างดี ทั้งในหน้าที่การงาน ชีวิตส่วนตัว ที่ผมพบหลายคนก็เป็น ผอ.รพ.ศูนย์ สสจ. เช่น ที่สุรินทร์ ฯลฯ นี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเด็กต่างจังหวัดถ้าให้โอกาสเขา ถ้าเขามีโอกาส เขาสามารถทำได้ อย่างที่ผมพูดเสมอว่า ความรู้พัฒนาได้ ทุกคนสามารถพัฒนาความรู้ของตนเองได้ และสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต
แต่สิ่งที่ผมหวัง คือ ผมคิดในตอนนั้นว่าโครงการ MESRAP จะช่วยทำให้โรงเรียนต่างๆ ในต่างจังหวัดพัฒนาขึ้นได้มาก เพราะจะต้องพยายามหาครูที่เก่ง ที่ดี มาสอนเด็กๆ จะได้ไม่มีการส่งเด็กมาเรียนใน กทม. หรือเมืองใหญ่ๆ แต่เหตุการณ์ไม่เป็นเช่นนั้น อย่างน้อยเท่าที่ควร เด็กๆ ต่างจังหวัดยังเข้ามาเรียน ม.ปลายที่โรงเรียนดังๆ ใน กทม. โดยเฉพาะโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ฯลฯ
การกระจายแพทย์ให้ไปทำงาน หรืออยู่กระจายไปทั่วประเทศไม่ใช่เรื่องเล็ก รัฐบาลต้องพยายามทำทุกรูปแบบเพื่อนำความเจริญในทุกๆ ด้านมาสู่ท้องถิ่นนั้นก่อน ตั้งแต่การคมนาคม ถนน รถไฟ เครื่องบิน รถเมล์ โรงเรียนที่ดีได้มาตรฐาน ความปลอดภัย รวมทั้งค่าตอบแทน ความก้าวหน้าของแพทย์และข้าราชการสายอื่นๆ ทำอย่างไรเราจึงไม่ต้องย้ายที่ทำงาน (กระทรวงสาธารณสุข) ของแพทย์เมื่อเขามีความก้าวหน้าทางด้านวิชาชีพไปยังจังหวัดอื่นๆ อย่างเช่นที่อังกฤษเมื่อเป็นแพทย์ใหญ่ ซึ่งที่อังกฤษเรียกว่า Consultant เขาก็จะอยู่ที่นี่ไปจนเกษียณ เงินเดือนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามความสามารถและเวลาที่ทำงาน เขาไม่ต้องย้ายไปไหน นอกจากจะสมัครใจด้วยตนเอง ขอย้ายไปที่อื่น หรือสมัครไปเป็นศาสตราจารย์ในโรงเรียนแพทย์ ถ้าเป็นเช่นนี้แพทย์ทั้งหลายก็จะไม่ต้องย้ายที่อยู่อาศัยบ่อยๆ ลูกๆ ก็จะได้เรียนที่โรงเรียนเดียวกัน แต่ที่อังกฤษลูกๆ นอกจากจะมีโอกาสอยู่ในโรงเรียนของรัฐประจำเมือง จังหวัด ที่ดีแล้ว ยังอาจไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนประจำที่ดีๆ สอนเก่ง แต่อาจแพงมาก เช่น Eaton, Harrow, Winchester,Marlborough, Malvern, Rugby ฯลฯ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ ถ้าบิดามารดาที่เป็นแพทย์ย้าย เด็กๆ ก็ไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว เพราะอยู่โรงเรียนประจำ ประเด็นคือ ที่อังกฤษความเจริญมันไปทั่วถึงทุกแห่ง
ฉะนั้นการกระจายแพทย์เป็นเรื่องใหญ่ ที่รัฐบาลต้องเป็นผู้นำจริงๆในการคิด ส่วนการผลิตแพทย์เพิ่มหรือไม่เพิ่มก็เป็นเรื่องใหญ่มาก ที่ผมจะเสนอความคิดเห็นในโอกาสต่อไป แต่ขอบอก ณ ตอนนี้เพียงแต่ว่าประเทศไทยควรมีคณะกรรมการแห่งชาติอย่างน้อย2 กรรมการ (ถ้ายังไม่มี) คือ คณะกรรมการกำลังคนของชาติ ดูแลความต้องการ การผลิต ของทุกๆ วิชาชีพ อาชีพ เช่น ครู แพทย์วิศวะ สถาปนิก ทันตแพทย์ เภสัชกร อาชีวะ PhD ฯลฯ เท่าไหร่ นักเรียนจะได้เรียนสาขาที่ประเทศ สังคมต้องการ จบแล้วจะได้มีงานทำ เงินเดือนที่ดีพอ
ส่วนคณะกรรมการแห่งชาติอีกชุด คือ คณะกรรมการเกษตรแห่งชาติเพื่อดูความต้องการการผลิตสินค้า อาหารต่างๆ ไม่ให้มากไป น้อยไป ฯลฯ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี