ผมและลูกชาย - แมน - บินออกจากไทย 12.30 น. ของวันเสาร์ที่ 23 กันยายน 2566 ตรงไปอังกฤษโดยสายการบินไทยรวดเดียว12 ชม. ถึงสนามบิน Heathrow ลอนดอน ลงที่ Terminal 2เวลา 19.10 น. ของวันเสาร์ ที่ 23 วันเดียวกันเพราะอังกฤษช้ากว่าไทย 6 ชม. Terminal 2 เดินไกลมาก ผมถึงบอกเพื่อนๆ เสมอว่า ถ้ายังเดินได้ให้รีบเที่ยวก่อนเดินไม่ได้ เพราะถ้าเดินไม่ได้ถึงแม้มีรถเข็นก็ไม่สนุกเท่าเดินได้เอง พอออกจากศุลกากรเราก็ตรงไปยังบริษัทรถที่แมนจองไว้ล่วงหน้า ซึ่งอยู่ในอาคาร Terminal 2 ห่างจากศุลกากรไม่ถึง 100 เมตรมั้งสะดวกสบายมาก แต่ขบวนการรับรถนี่ช้าหน่อย เจ้าหน้าที่บริษัทซึ่งจากสำเนียงพูดไม่ใช่คนอังกฤษแน่ พยายาม “ขาย” ให้เราเอารถที่ใหญ่กว่า แพงกว่า แล้วยังให้ลูกชายผมกรอกให้คะแนนการทำงานของพนักงาน พอลูกชายให้ 4 จาก 5ก็ถามว่าทำไมไม่ให้ 5 อยู่นานเลย!?
รถเป็น BMW ซีรี่ส์ 5 แบบ estate ดีเซล ขับนุ่ม เร่งเครื่องได้ดี เช่า 8 วัน 900 ปอนด์ (ปอนด์ละ 45 บาท) แต่เวลาคืนรถต้องเติมน้ำมันให้เต็ม เขาเอาค่ามัดจำไว้ 500 ปอนด์ระหว่างที่เราเช่ารถและจะคืนให้ภายหลังเราคืนรถแล้ว และอยู่ในสภาพที่ดี รถมี GPS มีอะไรที่อำนวยความสะดวกได้ดีพอสมควร เราไป 2 คนแต่มีกระเป๋าใหญ่ 4 ใบ ของผม 1 แมน 3 ใบ เพราะเป็นของหลานสาวที่ย้ายจากเมืองไทยมาเรียนต่อที่ Cambridge ผมมีบัตรทองของ Royal Orchid Plus และนั่งชั้นธุรกิจ ผมจึงได้น้ำหนักรวมเป็น 60 กก.ส่วนลูกชายนั่งธุรกิจเลยได้ 40 กก. แต่ถึงแม้เรามี 4 กระเป๋ายังมีน้ำหนักไม่ถึง 80 กก. กระเป๋า 1 ใบทางสายการบินให้มีน้ำหนักไม่เกิน 32 กก.เพราะกลัวพนักงานยกกระเป๋าหลังจะหัก สรุป ปัจจุบันนี้การบินไทยชั้นธรรมดาได้น้ำหนัก 30 กก. (มากกว่าสมัยก่อนซึ่งได้เพียง 20 กก.)ซึ่งสำหรับคนไปเที่ยวธรรมดาน่าจะพอ ผมเดินทางบ่อย ยกกระเป๋าบ่อยจนยกปั๊บจะรู้ได้คร่าวๆ เลยว่าหนักเท่าไหร่ ขาไปกระเป๋าผมหนักเพียง 18 กก. ขากลับ 25 กก. (รู้น้ำหนักตอนเช็คอิน) เพราะซื้อหนังสือมาอ่านมากมาย สำหรับผมกระเป๋าไม่เคยถึง 32 กก. เพราะยกไม่ไหวนี่ก็เป็นการทดสอบน้ำหนักกระเป๋าของผมอย่างคร่าวๆ ซึ่งมีกี่ใบก็ได้ แต่ๆ ละใบต้องไม่เกิน 32 กก.และรวมน้ำหนักแล้วไม่เกินตามสิทธิ์ที่เรามี แต่ผมก็ไม่ใส่ของจนกระเป๋ามีน้ำหนักถึง 32 เพราะจะยกเองไม่ไหวผมไปไหนชอบช่วยตนเอง จึงพยายามยกเอง ถือเอง ไม่ค่อยชอบเวลาใครมาถือกระเป๋าเล็กขึ้นเครื่องให้ เพราะกลัวเขาลืมไว้บนเครื่องบิน
รถ BMW estate นั่งได้ 2 คนพอดี เราพับเก้าอี้จนแถวหลังไม่มีที่ให้คนนั่ง เพราะเรามีกระเป๋าใหญ่ๆ 4 ใบ นี่โชคดีที่ชุ(ลูกสะใภ้) และแพท(หลานสาว)เดินทางล่วงหน้ามาก่อน ถ้ามาพร้อมกัน จะไม่มีที่นั่งพอหรือไม่มีที่สำหรับกระเป๋า
เราขับรถไปถึง Cambridge โดยไม่หยุดเลย ถึงประมาณ 22.00 น. ของเวลาท้องถิ่น (ตี 4 ของวันอาทิตย์ที่ 24 กันยายนเวลาไทย) เราหาบ้านไม่พบ เพราะแมน(ลูกชาย)ปักใจว่าบ้านเราอยู่ข้างที่เราคิดว่ามันอยู่ โทรเรียกทั้ง 3 คนก็ไม่มีใครรับโทรศัพท์เลยตั้งนาน!? พอผมบอกลูกชายว่าอยู่อีกข้างถนน เขาก็ไม่สน!? ขับรถวนไปวนมาพักใหญ่ หลานชายพีทก็ออกมายืนรอหน้าบ้าน จึงรู้!?
บ้านเช่าสบายมาก 1,500 ปอนด์ 8 วัน มีห้องข้างล่างใหญ่มากมีทีวี โซฟาให้นั่ง โต๊ะอาหาร 6 คน ครัว มีห้องส้วม มีเครื่องซักผ้าและตากผ้า มีประตูออกข้างบ้านแต่ไม่มีที่ออกไปทำอะไรเพียงแต่เปิดให้ลมเข้า เราก็กินข้าวต้มง่ายๆ ที่ชุเตรียมไว้ให้แล้ว แล้วอาบน้ำนอนข้างบนมีห้องนอน 2 ห้อง และห้องน้ำ ผมนอนกับลูกชาย ชุนอนกับแพท ส่วนพีท นอนบนโซฟาข้างล่าง
เช้าก็ตื่นตามสบาย 08.00-09.00 น. ชุทำอาหารเช้าอังกฤษให้กิน มีไข่ดาว 1 ฟอง เบคอน 2 ชิ้น (ผมชอบเบคอนอังกฤษมากๆ เพราะเป็นเนื้อล้วนๆ ไม่ใช่หมู 3 ชั้นแบบของอเมริกัน)ไส้กรอก 1 ชิ้น (อร่อยมากสำหรับผม คือ ไส้กรอก Cumberland)baked beans เห็ด มะเขือเทศ ไม่มีขนมปัง ชุชงกาแฟให้ผมดื่มทุกเช้า อร่อยดี มาคราวนี้กินอาหารเช้าแบบนี้ทุกวันไม่เบื่อเลย แต่กินอย่างละ 1-2 ชิ้น เท่านั้น นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่เบื่อ สมัยก่อนตอนอยู่โรงแรมกิน 3 วันก็เบื่อแล้ว เพราะกินแต่ละอย่างเยอะมากในแต่ละวัน
เสร็จแล้วก็ออกไปเยี่ยมชมเมือง Cambridge เดินดู Colleges ต่างๆ ที่มีอยู่ 31 Colleges ที่มหาวิทยาลัย Cambridge Colleges ต่างๆ มีความเอกเทศในการรับนิสิต Colleges มีความเก่าแก่ไม่เท่ากัน เช่น ที่เก่าแก่ที่สุดคือ Peterhouse ตั้งในปี ค.ศ.1284 เก่าแก่ที่ 2 คือ Clare College ก่อตั้งในปี ค.ศ.1326 Clare เป็น College ที่แพทสอบเข้าได้ Colleges ต่างๆ เป็นที่พัก แต่การเรียนไปเรียนร่วมกันกับ College อื่นๆ
เราเยี่ยมชม Colleges ต่างๆ ที่ผ่านบ่อยที่สุด คือ King’s College (Henry 8 ตั้ง), Gonville and Caius College (ที่ดังทางการแพทย์ และท่านอดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศวิทยา เวชชาชีวะ และลูกชายจบที่นี่), Trinity College,Trinity Hall, Clare ฯลฯ พอถึงเวลาอาหารกลางวัน หรือเย็นเราก็เข้า pu –public hous –ที่เป็นร้านขายแอลกอฮอล์และอาหารแอลกอฮอล์ที่ชาวอังกฤษนิยมที่สุดคือเบียร์ ที่รินจากถัง โดยเฉพาะbeer bitter และอาหารใน pub มักไม่แพง มีราคาตั้งแต่ 16–27 ปอนด์ต่อจาน ที่ผมชอบคราวนี้คือ fish and chips (ปกติจะไม่ชอบ?!) และชอบขนม toffee pudding มาก (ทั้งๆ ที่เป็นคนไม่ชอบของหวาน ขนมหวาน น้ำหวาน) เห็นแล้วอดไม่ได้ ต้องกระโจนเข้าใส่ แต่รู้สึกว่าพีชและทุกๆ คนก็ชอบ
ยังไม่จบนะครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี