สัปดาห์ที่ผ่านมา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพิ่งจะลงมติรับหลักการ ร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา พ.ศ....ที่คณะรัฐมนตรีเสนอ
นับเป็นจังหวะก้าวสำคัญ ที่ภาครัฐและภาคประชาชน จะได้โอกาสขยับเข้าไปปรับรื้อ ปฏิรูประบบกำกับดูแลการจัดการเกษตรพันธสัญญา ที่มีปัญหาสะสม หมักหมมมาช้านาน
ที่ผ่านมา ฝ่ายเกษตรกรมักเสียเปรียบ เพราะสัญญามีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน
ถ้าปล่อยไปตามเดิม เกษตรกรก็จะเสียเปรียบต่อไปเหมือนเดิม
นี่จึงเป็นโอกาสที่จะได้แก้ไขเปลี่ยนแปลง ให้เกษตรกรได้รับการดูแล ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น
1) เกษตรพันธสัญญาในที่นี้ ก็คือ คอนแทรคฟาร์มมิ่ง (contract farming)
เราเห็นกันหลากหลายมาก มีทั้งเลี้ยงไก่ หมู ปลา ปลูกพืชผลการเกษตรนานาชนิด ฯลฯ
ปัจจุบัน แม้แต่การปลูกข้าว ก็มีแบบเกษตรพันธสัญญา
เป็นการที่เกษตรกรทำสัญญากับบริษัทธุรกิจเกษตร ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสัตว์ หรือการเพาะปลูกพืช โดยมีการทำสัญญาตกลงซื้อขายผลผลิตล่วงหน้า ในราคา ปริมาณ รวมถึงคุณภาพตามที่ตกลงกัน และอาจจะมีการตกลงเรื่องการสนับสนุนปัจจัยการผลิต เทคโนโลยีการผลิตต่างๆ นานาด้วย
บรรดาธุรกิจเอกชนจำนวนมาก นำระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง (contract farming) มาใช้ในการจัดการการผลิตของตนเอง เพื่อสร้างความแน่นอนในวัตถุดิบ ทั้งในเชิงปริมาณ คุณภาพ และราคา
ส่วนเกษตรกรที่สมัครใจเข้าร่วมจำนวนมาก ก็เพราะเชื่อว่าจะได้ประโยชน์จากการมีผู้รับซื้อผลผลิตแน่นอน เสมือนประกันราคาล่วงหน้า มีปัจจัยการผลิตแน่นอน มีเทคโนโลยีการผลิตกึ่งสำเร็จรูป ฯลฯ
เห็นได้ว่า ถ้าระบบนี้ ถูกจัดการอย่างโปร่งใส เป็นธรรมแก่เกษตรกร เท่ากับถ่ายโอนภาระการประกันราคาผลผลิตจากรัฐบาล ไปให้บริษัทเอกชน มันจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
2) แต่ปัญหาที่ผ่านมา สะท้อนว่า ยังมีข้อเสีย จุดอ่อน ที่ทำให้เกิดความไม่ยั่งยืน และไม่เป็นธรรมอยู่
ภาคเอกชนมักจะทำสัญญาในลักษณะผลักภาระความเสี่ยงไปให้เกษตรกร
เงินลงทุนต่อฟาร์มค่อนข้างสูง การคืนทุนต้องใช้เวลานานหลายปี ทำให้เกษตรกรตกอยู่ในสถานะที่มีความเสี่ยงสูง อำนาจต่อรองน้อยกว่าฝ่ายเอกชน เพราะถ้าถูกยกเลิกสัญญาในระยะสั้น จะเสียหายมาก ล้มละลายได้เลย
ที่สำคัญ สัญญาไม่ได้คำนวณรายได้ค่าตอบแทนจากการผลิต จำแนกรายละเอียดที่ชัดเจน เป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้เกิดภาพลวงตาในการพิจารณาความคุ้มค่าในการเข้าร่วมของเกษตรกร เพราะมีต้นทุนแฝง ต้นทุนค่าเสียโอกาส ฯลฯ ซึ่งไม่ได้ถูกนำมาคำนวณ เป็นต้น
3) ที่ผ่านมา ในเวทีสัมมนาวิชาการ มักอภิปรายถึงปัญหานี้เสมอ
พูดกันมาทุกยุค
บ่นกันมาทุกสมัย
น่าแปลกใจ รัฐบาลที่ชอบอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง ทำไมไม่หยิบขึ้นมาจัดการให้เกิดความชัดเจนกันเสียที
ยกตัวอย่าง เมื่อวันที่ 26-27 มิ.ย. 2555 ในเวทีสัมมนา “เกษตรพันธสัญญา : ใครอิ่ม ใครอด” ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็อภิปรายอย่างน่าฟัง น่าคิด
แต่ตลอดสมัยรัฐบาลที่แล้ว ก็ไม่เคยมีคนในรัฐบาลทำเรื่องนี้เลย
สาระสำคัญที่เคยพูดกันไว้ เช่น
รศ.ดร.สมพร อัศวิลานนท์ สถาบันคลังสมองของชาติ กล่าวว่า การทำเกษตรพันธสัญญา มีประเด็นสำคัญ 2 ประเด็น คือ ใครต้องแบกความเสี่ยงด้านการผลิต และใครต้องแบกความเสี่ยงด้านการตลาด
“ในช่วง 30 กว่าปีที่มีการทำเกษตรพันธสัญญา ภาครัฐไม่ได้ทำหน้าที่ในการเผยแพร่ข้อมูลในเรื่องดังกล่าวอย่างรอบด้าน และไม่ได้มีกระบวนการปกป้องคุ้มครอง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมอย่างแพร่หลาย ซึ่งภาครัฐเองต้องมีการพัฒนากลไกทางกฎหมายเข้ามาดูแลให้มากขึ้น ต้องมีการประกันความเสี่ยงในด้านการผลิตให้กับเกษตรกร และควรมีหน่วยงานที่ทำงานด้านกฎหมาย เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับเกษตรกรรายย่อย”
อาจารย์ไพสิฐ พาณิชย์กุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่า เกษตรพันธสัญญาอยู่ภายใต้ธุรกิจอุตสาหกรรมและอาหาร ที่มีทั้งทุนไทยและต่างชาติเข้ามาลงในระบบเกษตรพันธสัญญามากขึ้น ในโลกของการแข่งขัน ความก้าวหน้าทางธุรกิจเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ตัวเองอยู่รอด แต่ในการทำเกษตรพันธสัญญาในอเมริกาและยุโรป พบว่าภาครัฐเข้ามามีบทบาทในกลไกการตลาด เพื่อให้กลไกตลาดควบคู่กับความเป็นธรรม ดังนั้น ข้อเสนอต่อเรื่องเกษตรพันธสัญญาในไทย คือ
“กฎหมายของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรมีน้อยมาก และเนื้อหาก็จะเน้นการควบคุมมากกว่าสร้างความเป็นธรรม อีกทั้ง กฎหมายในประเทศไทยยังไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงต้องมีกฎหมายเข้ามารองรับดูแลการทำเกษตรพันธสัญญา.. ในมุมของเกษตรกร ต้องมีพื้นที่ในการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำเกษตรพันธสัญญาร่วมกัน เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและร่วมกันคิดถึงแนวทางในการสร้างความเป็นธรรมให้ระบบดังกล่าวมากขึ้น แม้ว่าการทำเกษตรพันธสัญญาภายใต้ธุรกิจการเกษตรและบรรษัทข้ามชาติ จะทำรายได้เข้าสู่ประเทศจำนวนมหาศาล แต่เกษตรกรซึ่งเป็นผู้ผลิตกลับมีฐานะทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตต่ำลง มีภาระหนี้สินจำนวนมาก หากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ร่วมมือกันเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้เกษตรกรภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา เกษตรกรก็คงต้องจำยอมตกอยู่ในพันธะแห่งความไม่เป็นธรรมต่อไป”
ตัวแทนยักษ์ใหญ่อย่างซีพี นายณรงค์ เจียมใจบรรจง ระบุว่า บริษัทเริ่มทำเกษตรพันธสัญญาตั้งแต่ปี 2518 ส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงไก่กระทง บริษัทดูแลพันธุ์สัตว์ อาหาร ยารักษาโรค ส่วนเกษตรกรให้ดูแลการผลิตตามคำแนะนำของบริษัท โดยรูปแบบของการทำเกษตรพันธสัญญามี 3 แบบ คือ
การประกันรายได้ เหมาะกับเกษตรกรที่ยังไม่มีประสบการณ์ด้านการตลาด หรือเรียกว่าเป็นระบบจ้างเลี้ยง
การประกันราคา เหมาะกับเกษตรกรที่ไม่ต้องการความเสี่ยงด้านราคาและตลาด โดยตกลงราคารับซื้อล่วงหน้าระหว่างบริษัทกับเกษตรกร
การประกันตลาด เกษตรกรไม่อยากทำตลาดเอง ให้บริษัทมาเป็นคนรับซื้อตามความต้องการของบริษัท
“บริษัทจำเป็นต้องควบคุมผู้ผลิตในระบบเกษตรพันธสัญญาให้ได้ทั้งหมด เพราะเกษตรพันธสัญญาเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิต ดังนั้น อาหารที่ผลิตออกมาถึงมือผู้บริโภค ต้องทำอย่างสะอาด ปลอดภัย พร้อมต่อการตรวจสอบทุกกระบวนการผลิต ซึ่งบริษัทเลือกที่จะทำเกษตรพันธสัญญา โดยมีการกำหนดกฎกติกามาตรฐาน เพื่อเป็นการคำนึงถึงประโยชน์ของผู้บริโภค ที่ต้องมีกระบวนการที่มีมาตรฐานและปลอดภัย บางรายตั้งข้อสังเกตว่าบริษัทซีพีผูกขาดสินค้า แต่บริษัทมีกระบวนการผลิตที่ดีมีคุณภาพ ซื่อสัตย์กับลูกค้า จึงทำให้ลูกค้ามั่นใจไม่เฉพาะในประเทศไทยแต่ไปได้ทั่วโลก” ฯลฯ
4) มาถึงวันนี้ ยักษ์ใหญ่เกษตร คงต้องตระหนักว่า เกษตรพันธสัญญาจะต้องเพิ่มพื้นที่ความไว้ใจและให้แต้มต่อแก่ฝ่ายเกษตรกรมากขึ้น มิฉะนั้น ความยั่งยืนจะไม่เกิดแน่นอน แถมอาจจะเกิดปัญหาบานปลาย
ควรคำนึงถึงมิติความเป็นมนุษย์ของเกษตรกรให้มากขึ้น ซึ่งจะต้องมีสังคม มีการรวมกลุ่มเกษตรกรด้วยกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีวิถีชีวิต มีทางเลือกมากขึ้น มีความยืดหยุ่นในระดับหนึ่ง มิใช่เสมือนเป็นเพียงฟันเฟืองในจักรกลการผลิตของธุรกิจเกษตรยักษ์ใหญ่
ขณะนี้ เมื่อมีร่างกฎหมายที่จะสร้างระบบกำกับดูแล สางปัญหาสัญญาที่อาจไม่เป็นธรรมที่ผ่านมา จึงเป็นโอกาสที่ทุกฝ่ายควรร่วมมือกัน ผลักดันให้เกิดระบบที่เป็นธรรม ยั่งยืน ร่วมกัน
หวังว่า จะไม่มีใครฉวยโอกาสปลุกระดมล้มโต๊ะ ลักษณะไม่ถนัดทำ ไม่แก้ไข เอาแต่จะพูดบ่นไปเรื่อยๆ
ส่วนภาครัฐ ก็ควรเสริมอำนาจต่อรองให้กับฝ่ายเกษตรกรเป็นหลัก เพราะเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ และจะช่วยเพิ่มความไว้เนื้อเชื่อใจแก่สังคมว่า ไม่ได้จะสร้างระบบเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ทุนผูกขาดเกษตรกรรม มิฉะนั้น จะถูกโจมตีขยายผลทางการเมืองอย่างร้ายแรง
พรุ่งนี้ มาดูว่า สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เมื่อปี 2558 เคยมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ “การปฏิรูประบบเกษตรพันธสัญญาให้เป็นธรรม” น่าสนใจอย่างไร?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี