ในฐานะที่ทำมาหากินอยู่ในแวดวงข่าวมากว่าสี่สิบปีและเร่ร่อนทำข่าวในภูมิภาคมามากมาย อยากจะบอกเล่าให้เข้าใจว่า ประเทศไทยเรานี้ สื่อมีเสรีภาพมากที่สุดในเอเชีย จะไม่มีเสรีภาพได้อย่างไร ในเมื่อคนทำน้ำหมักนํ้าดองเป็นเจ้าของสถานีทีวี เป็นพิธีกรทีวีได้ คนมีความคิดวิปริตการเมืองและเรื่องเพศ เป็นเจ้าของรายการทีวีเป็นพิธีกรได้ นักธุรกิจสีเทาหันมาเอาดีทางการเมือง พอมีเรื่องผิดกฎหมายเล่นการเมืองต่อไม่ได้แปลงร่างกลายเป็นพิธีกรทีวี โฆษกเวทีรำวงจับพลัดจับผลูรับใช้นายใหญ่ไม่กี่ปี ก็ได้เป็นเจ้าของวิทยุหลายสถานี เป็นนักจัดรายการวิทยุคนดังคับฟ้าที่นายตำรวจและผู้ว่าฯต้องซูฮก
ต้องนำความจริงเรื่องนี้มาเล่าขาน เพราะเมื่อวันที่ 3 พ.ค. ที่ผ่านมา พูดกันว่าเป็น วันเสรีภาพสื่อมีเรื่องฮือฮาเมื่อฝรั่งผีโม่แป้งที่ชื่อว่า Reporters without border หรือองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน เสนอรายงานประจำปีว่า เสรีภาพสื่อไทยด้อยกว่าเสรีภาพสื่อในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ พม่า และกัมพูชา ผมเคยทำข่าวในประเทศเหล่านั้นมากกว่านักข่าว ที่มาจากองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน ขอยืนยันว่า เสรีภาพสื่อในประเทศไทยมีมากกว่าสื่อส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้
ดังนั้น เมื่อได้ยินว่าสื่อไทยหลงใหลได้ปลื้มกับรายงานประจำปี ที่ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน จงใจทำร้ายประเทศไทย จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับสังคมไทยว่ารายงานชั่วช้าชิ้นนี้ได้นำเรื่องการบังคับใช้กฎหมายกับพวกล้มเจ้า พวกที่ละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 มาปนเปกับเสรีภาพสื่อ ดังที่ส่วนหนึ่งของรายงานเขียนว่า “รัฐบาลทหาร ประยุทธ์ จันทร์โอชา บังคับใช้กฎหมายกับ Netizen (ชาวเนต) ตามอำเภอใจโดยใช้มาตรา 112 อย่างเข้มงวดเพื่อกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม แม้แต่หลังจากการสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 การบังคับใช้มาตรา 112 อย่างเข้มข้นก็ไม่ได้ลดละ...” เห็นได้ว่าองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน ไม่ได้นำเสรีภาพสื่อ การรายงานข่าวของสื่อในประเทศไทย มาประกอบการพิจารณา แต่เน้นเรื่องดำเนินคดีกับผู้ละเมิดมาตรา 112 แล้วเหมารวมเอาว่าชาวเนตที่โพสต์ข้อความเข้าข่ายละเมิดมาตรา 112 เช่นกรณี ไผ่ดาวดิน หรือ แม่จ่านิว ฯลฯ ที่ถูกดำเนินคดีว่าเป็นการละเมิดเสรีภาพสื่อ
มาดูกันว่ารายงานชิ้นนี้มีอคติกับประเทศไทยอย่างไร ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน จัดเสรีภาพสื่อในอินโดนีเซียอยู่ที่อันดับ 124 ทั้งๆ ที่สื่อในอินโดนีเซียต้องจดทะเบียนทำประวัติ มีบัตรประจำตัวอย่างเข้มงวดเหมือนกับสื่อในสิงคโปร์ มาเลเซีย สื่ออินโดนีเซียทำผิดกฎหมาย ต้องรับโทษติดคุกโทษเฆี่ยนด้วยหวาย ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนจัดอันดับเสรีภาพสื่อฟิลิปปินส์ที่ 127 ทั้งๆ ที่ฟิลิปปินส์คือแดนอันตรายผู้สื่อข่าวถูกฆ่าตายมากที่สุดในอาเซียน เมื่อถูกถามเรื่องผู้สื่อข่าวถูกฆ่าตายมากมาย ได้รับคำตอบจากประธานาธิบดีดูเตอร์เต ว่า “ผู้สื่อข่าวก็ไม่ได้รับการยกเว้นจากการฆ่าตาย ตราบใดที่คุณยังเป็นลูกอีดอก”
ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน จัดเสรีภาพสื่อพม่าอยู่ในอันดับที่ 131 ทั้งๆ ที่พม่าไม่อนุญาตให้เอกชนมีสถานีวิทยุ สื่อพม่าไม่ได้รับอนุญาตให้สัมภาษณ์ นางออง ซาน ซู จี (นางพูดกับสื่อฝรั่งเท่านั้น) นายตันตุ๊ต บก.บห.หนังสือพิมพ์Dialy Eleven เสนอข่าวรัฐมนตรีรับสินบนเป็นนาฬิกาหรูมูลค่า 10,000 ดอลลาร์ ถูกจับยัดคุกไม่ให้ประกันตัวระหว่างพิจารณาคดีผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนให้เสรีภาพกัมพูชาลำดับ 132 ขณะที่นายเข็ม เล นักการเมืองฝ่ายค้าน ถูกยิงตายกลางวันแสกๆหลังจากเขาสัมภาษณ์วิทยุโจมตีรัฐบาล นายชุน ซอมบัตร ผู้สื่อข่าวถูกจับยัดคุกเพราะสัมภาษณ์นักโทษในเรือนจำโดยไม่เปิดเผยชื่อจริง นี้เป็นตัวอย่าง ประเทศที่ฝรั่งให้ค่าว่าเสรีภาพสื่อสูงกว่าประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน จัดอันดับเสรีภาพสื่อไทยอยู่ที่ลำดับ 142 จาก 180 ประเทศ ทั้งๆ ที่ผู้สื่อข่าวไทยไม่มีใครถูกดำเนินคดี ไม่มีนักข่าวถูกฆ่าตาย แต่แปลกใจที่สื่อไทยบางส่วนลิงโลดสะใจ ที่ฝรั่งนำเรื่องดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 มารวมกับเสรีภาพสื่อ สื่อบางรายนำเรื่องฝรั่งใส่ร้ายมาปนเปกับกฎหมายกดหัวสื่อ แล้วโยงใยโวยวายว่ารัฐบาลบังคับจับสื่อตีทะเบียน สื่อควรรู้ด้วยว่าทำทะเบียนไม่ใช่เรื่องใหม่ ประเทศไทยทำมานานแล้ว
สี่สิบกว่าปีก่อน เมื่อสำนักข่าวต่างประเทศรับเราเข้าทำงาน สำนักข่าวต้องส่งประวัติรูปถ่ายเราไปกระทรวงการ
ต่างประเทศ คัดกรองก่อนส่งเรื่องไปให้สันติบาล ทำบันทึกประวัติ ผ่านขั้นตอนนั้นแล้วกระทรวงต่างประเทศ ส่งเรื่องต่อไปกรมประชาสัมพันธ์ หน่วยงานสังกัดปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำทะเบียนประวัติออกบัตรผู้สื่อข่าว เพื่อใช้แสดงตัวในการทำงานทั้งในและต่างประเทศ ขอเน้นว่าการลงทะเบียนทำข่าวต่างประเทศและในเวทีประชุมสากล แม้แต่ในประเทศไทยเข้มงวดมาก ดังนั้นเมื่อสื่อมวลชนไม่ยอมให้จดทะเบียนเป็นหลักฐาน เมื่อต้องไปทำงานจะใช้อะไรแสดงตัว
การทำทะเบียนประวัติสื่อผ่านกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์นั้น มีมานานแล้ว ผู้ประกาศข่าว พิธีกรข่าววิทยุทีวีจะปฏิบัติหน้าที่ได้ต้องสอบผ่านใบผู้ประกาศข่าว จากกรมประชาสัมพันธ์ การจัดทะเบียนสื่อกลั่นกรองนั้นมีมานานแล้ว แต่มีคนมักง่ายละเลยไม่ใส่ใจ ประเทศจึงอุดมไปด้วยพิธีกรน้ำหมัก พิธีกรวิปริตคิดเล่นการเมือง นักธุรกิจสีเทาทำผิดกฎหมายเล่นการเมืองต่อไปไม่ได้กลายมาเป็นพิธีกรข่าว โฆษกเวทีรำวงแต่ถวายหัวรับใช้นายใหญ่ได้เป็นเจ้าของสถานีวิทยุ เป็นนักจัดรายการโด่งดังยิ่งใหญ่ที่นายตำรวจและผู้ว่าฯต้องมาซูฮก ถึงได้พูดว่าเรื่องเสรีภาพสื่อประเทศไทยไม่ด้อยกว่าใคร แต่ถ้าพูดถึงคุณภาพ ความเป็นมืออาชีพ ความมีจริยธรรม สื่อไทยตกต่ำน่าใจหาย
ยืนยันว่า การจัดทะเบียนคือการคัดกรองสื่อให้ประกอบอาชีพอย่างภาคภูมิใจ แต่การจดทะเบียนหรือออกกฎเกณฑ์ใดๆ ต้องทำอย่างเข้าใจโดยผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ไม่ใช่เพียงผ่านสภาแล้วคิดว่ารู้ทุกเรื่อง เช่น เรื่องออกกฎบังคับไม่ให้องค์กรสื่อรับนักข่าวที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพเข้าทำงาน อันนี้เป็นข้อบังคับที่กลับหัวกลับหาง เพราะที่แล้วมา สื่อต้องจดทะเบียนเมื่ออยู่ในองค์กรข่าวแล้ว กล่าวคือเมื่อองค์กรข่าวรับคนเข้าทำงาน สื่อที่ได้รับการคัดเลือกเข้าทำงานต้องผ่านการฝึกฝนอบรมอย่างเข้มข้นก่อนจะไปขึ้นทะเบียนนักข่าว ดังเรื่องที่จะเล่าให้ฟังว่า เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนเราสมัครเข้าทำงานในสำนักข่าวยูพีไอ (United Press International) ตอนแรกสมัครเป็นพนักงานพิมพ์ข่าว ทำงานไปได้ระยะหนึ่งยกระดับมาเป็นผู้สื่อข่าว พอขึ้นมาเป็นนักข่าวสำนักงานก็ส่งไปอบรม ไปเรียนการเขียนข่าว รายงานข่าวในศูนย์อบรมของสำนักข่าวหนึ่งเดือนกลับมาฝึกงานต่ออีกสามเดือนจึงได้ไปลงทะเบียนเป็นนักข่าวที่กรมประชาสัมพันธ์ฯ และทุกๆ ปี นักข่าวหมุนเวียนกลับไปอบรมที่เรียกว่า Refresh อีกสามอาทิตย์ อยู่กับยูพีไอ 11 ปี เมื่อย้ายมาอยู่สำนักข่าวรอยเตอร์ก็ต้องฝึกฝนอบรมความรู้ใหม่ปีละสามอาทิตย์ทุกๆ ปี
ผู้สื่อข่าวที่เริ่มต้นจากผู้ช่วยมีมากมาย โดยเฉพาะในสายข่าวต่างประเทศ เท่าที่รู้จักส่วนใหญ่หลายคนเริ่มจากการเป็น stinger หรือผู้สื่อข่าวพิเศษ หลายคนเริ่มมาจากพนักงานพิมพ์ข่าว เรียงพิมพ์ ผู้ช่วยห้องมืด บางคนมาจากหน่วยงานช่วยเหลือสากล หรือแม้แต่คนที่เริ่มถ่ายรูปจากกล้องป๊อกแป๊ก ได้พัฒนาเป็นหัวหน้าช่างภาพ ในสำนักข่าวระดับโลกมาแล้วก็มี
ดังนั้นเมื่อสภาขับเคลื่อนเพื่อการปฏิรูปประเทศ ร่าง พ.ร.บ.ออกกฎว่าองค์กรสื่อที่รับนักข่าวไม่มีใบประกอบวิชาชีพสื่อเข้าทำงานผิดกฎหมาย สมควรแล้วที่ถูกโวยวายเพราะเป็นกฎหมายกลับหัวกลับหาง คนที่ยังไม่เคยทำงาน ไม่เคยฝึกฝนจากที่ทำงาน ไม่มีประสบการณ์ จะเอาใบประกอบวิชาชีพข่าวมาจากไหน องค์กรไหนออกไปประกอบวิชาชีพให้ องค์กรไหนเป็นผู้กำหนดมาตรฐานคุณสมบัติใบประกอบวิชาชีพสื่อ ใครมีคุณสมบัติพอสอบใบประกอบวิชาชีพสื่อ บัณฑิตนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์มีความรู้ความสามารถ มีมาตรฐานพอได้ใบประกอบวิชาชีพข่าวหรือไม่ ถ้ายังหาคำตอบไม่ได้ ก็โยน พ.ร.บ.กดหัวสื่อลงตะกร้าไป แล้วบังคับกฎเกณฑ์ดีๆ ที่มีอยู่แล้วก็น่าจะพอ
ส่วนองค์กรสื่อที่มีอยู่มากมาย ถ้าควบคุมกันไม่ได้ถ้าไม่ปรับตัวให้ทันวิวัฒนาการข่าวยุคใหม่ ก็อย่าเสียใจเมื่อสังคมรุมด่าแล้วสอนว่า สื่ออย่าใช้เสรีภาพ ละเมิดกฎหมาย หยาบคาย ไร้จรรยาบรรณ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี