อวสานเณรคำ...
นายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระเณรคำ สิ้นสุดความเป็นสงฆ์ กลายสภาพเป็นผู้ต้องขัง
ตกอยู่ในฐานะจำเลยคดีอาญาแผ่นดิน
1. อัยการ มีความเห็นสั่งฟ้องนายวิรพล 2 คดี
1.1 คดีอาญาความผิดทางเพศ
ฐานความผิดพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีฯ และกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งไม่ใช่ภริยาตนฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และมาตรา 317 วรรคสามอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี
ระบุว่า เมื่อเดือน ม.ค.43 - กลางปี 2544 จำเลยได้พราก ด.ญ.เอ (นามสมมุติ) อายุไม่เกิน 15 ปี ไปจากผู้ปกครองโดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง จากนั้นนำตัว ด.ญ.เอ ไปข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่
พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้ตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ แต่ระหว่างดำเนินคดี นายวิรพลได้หลบหนีไปสหรัฐอเมริกา โจทก์ได้ขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ศาลชั้นต้นแห่งรัฐบาลกลางรัฐแห่งแคลิฟอร์เนีย มีคำสั่งให้ส่งตัวมาไทย ระหว่างนั้น ฝ่ายผู้เสียหายได้เคยยื่นฟ้องจำเลยเองต่อศาลจังหวัดศรีสะเกษ เป็นคดีหมายเลขดำ 1917/2556 ศาลยกฟ้องเป็นคดีหมายเลขแดง 2820/2557 ข้อหาข่มขืนกระทำชำเราและความผิดต่อเสรีภาพ โดยที่ศาลได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้ว แต่ปรากฏว่าผู้เสียหายไม่มาเบิกความต่อศาล คงมีเพียงบุคคลที่อ้างเป็นคนรู้จักข้างบ้าน มาเบิกความเป็นพยานปากเดียวเท่านั้น ซึ่งไม่รู้เห็นการกระทำผิดของจำเลย ดังนั้น การฟ้องคดีดังกล่าวจึงมีพฤติการณ์บ่งชี้ว่าเป็นการดำเนินคดีในลักษณะสมยอม เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต จึงไม่เป็นเหตุให้สิทธิการนำคดีอาญานั้นมาฟ้องต้องระงับไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยคดีนี้ โดยก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์เคยยื่นคำร้องขอสืบพยานไว้ล่วงหน้าแล้ว 2 ปากตั้งปี 2559
น่าสนใจว่า ในความผิดเรื่องเพศส่วนนี้ จะมีบทจบอย่างไร?
และการมีเพศสัมพันธ์นั้น ไม่ว่าจะสมยอมหรือไม่ ย่อมทำให้ขาดจากความเป็นสงฆ์ ปาราชิกไปตั้งแต่เกิดเหตุทันที โดยไม่ต้องรอนายวิรพลเปล่งวาจาสละสมณเพศอะไรอีกแล้ว
จะกลับมาบวชใหม่ ก็ไม่ได้อีกแล้ว
1.2 คดีอาญาฉ้อโกงประชาชน ฟอกเงิน และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
ฐานความผิด นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลปลอมหรือเท็จฯ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2551 มาตรา 14 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี, ข้อหาฉ้อโกงประชาชน มาตรา 343 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และฐานฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มาตรา 5, 60 โทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี
อัยการระบุท้ายฟ้อง ขอให้ศาลสั่งอดีตพระเณรคำ คืนทรัพย์สินแก่ผู้เสียหาย 29 คน รวม 28.6 ล้านบาทด้วย
ระบุว่า ระหว่างวันที่ 17 ก.พ.2552 – กลางปี 2556 จำเลยตั้งตัวเป็นประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ อาศัยศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระพุทธศาสนา แสดงข้อความอันเป็นเท็จ ปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้ง อวดอ้างจัดงานพิธี พร้อมประกวดกิจกรรมปฏิบัติศาสนกิจ นิมนต์สงฆ์มาแสดงธรรม ตามสถานที่ต่างๆ เช่น บริษัทดอกบัวคู่ ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น
แจ้งข่าวแก่ประชาชนว่าจะสร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมมหาวิหารครอบองค์พระแก้ว ซึ่งองค์พระแก้วจะเป็นหยกแท้สีเขียวหนัก 199 ตันนำเข้าจากประเทศอิตาลี ราคาบริจาคบูชาตันละ 300,000 บาท
ประกาศสร้างรูปหล่อ ก่อสร้างมหาวิหารสำหรับประชาชนที่ศรัทธาที่เข้ามาปฏิบัติธรรมที่ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
แต่แท้จริงแล้ว จำเลยไม่ได้ทำตามที่บอก
จำเลยได้ชักชวนประชาชนให้ร่วมกันบริจาคเงินผ่านเว็บไซต์หลวงปู่เณรคำหรือ www.luangpu nenkham.com โดยการแจ้งข้อความเท็จนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เป็นเหตุเหยื่อ 29 คน หลงเชื่อบริจาคเงิน 28,649,553 บาท ด้วยเช็ค เงินสด เข้าบัญชีที่จำเลยกำหนด อันเป็นการฉ้อโกงประชาชน
2. นอกจากนี้ ยังคดีแพ่ง รับทรัพย์ที่ ปปง.ยึดอายัดไว้ก่อนหน้านี้ ตกเป็นของแผ่นดิน
ล่าสุด ศาลแพ่งมีคำพิพากษาว่า นายวิรพลและผู้คัดค้าน ไม่สามารถชี้แจงแหล่งที่มาของทรัพย์ได้ ขณะที่นายวิรพล บวชเป็นพระมีรายได้จากประชาชนที่มาทำบุญ ไม่ได้มีรายได้จากแหล่งอื่น จึงเชื่อว่าทรัพย์สิน 27 รายการ อาทิ ที่ดิน-สิ่งปลูกสร้าง, รถหรูปอร์เช่, รถจักรยานยนต์ และทรัพย์อื่น เป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จึงให้ทรัพย์สินทั้ง 27 รายการ
มูลค่ากว่า 43 ล้านบาท
ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน
3. เปรียบเทียบกับกรณีธัมมชโย
น่าสนใจว่า กรณีเณรคำ คณะสงฆ์สามารถดำเนินการให้พ้นจากความเป็นสงฆ์ได้ โดยที่เจ้าตัวหลบหนีอยู่ก่อนหน้านี้
แต่กรณีของธัมมชโย ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ เลย ทั้งๆ ที่ ถูกถอดสมณศักดิ์ไปแล้ว
4. ธัมมชโยถูกดำเนินคดีในข้อหาอาญา ฐานฟอกเงิน สมคบกันฟอกเงิน รับของโจร
แต่น่าสงสัยว่า ธัมมชโยถือครองทรัพย์สินมากมายมหาศาลแค่ไหน
ทั้งในชื่อของธัมมชโย และในชื่อของบุคคลอื่น
เหตุใด จึงไม่มีการดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกงประชาชนแก่ธัมมชโย?
พฤติกรรมอวดอ้างอภินิหารไม่น้อยไปกว่าอดีตเณรคำ ไปนรกไปสวรรค์
ระดมเงินจากประชาชนมากมายมหาศาลยิ่งกว่า
มีการผ่องถ่ายเงินออกไปไหนต่อไหน มากมายหลายแขนงยิ่งกว่า
5. นึกถึงกรณีอดีตเณรแอ เคยถูกดำเนินคดีฉ้อโกงประชาชน
วันที่ 23 มิ.ย. 2553 ศาลอาญา อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ นายหาญ รักษาจิตร์ หรืออดีตเณรแอ เป็นจำเลย ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ระบุว่า ระหว่างเดือน เม.ย.2542 - 10 ก.ค.2548 จำเลยโฆษณาชวนเชื่อ อวดอ้างว่าเป็นจอมขมังเวทย์ มีความสามารถทางไสยศาสตร์ ทำเสน่ห์ เรียกสามีหรือภรรยาให้กลับมาคืนดีกันได้ จนมีผู้เสียหายหลงเชื่อ 33 ราย มอบเงินให้จำเลยรวม 910,000 บาท เพื่อทำไสยศาสตร์ โดยวันที่ 10 ก.ค.2548 ตำรวจกองปราบปราม จับกุมจำเลยได้ที่บ้านพัก อ.หนองโดน จ.สระบุรี โดยฝ่ายจำเลยให้การปฏิเสธโดยตลอด
ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2549 ให้จำคุกจำเลย ฐานฉ้อโกงฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก กระทงละ 4 ปี รวม 25 กระทง รวมจำคุกเป็นเวลา 100 ปี คำให้การจำเลยเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 75 ปี แต่โทษตามความผิดดังกล่าวมีอัตราโทษสูงสุดไม่เกิน 5 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้วตามกฎหมายให้จำคุกสูงสุดได้ไม่เกิน 20 ปี ศาลจึงสั่งลงโทษจำคุกจำเลยไว้ทั้งสิ้นเป็นเวลา 20 ปี และให้ชดใช้ค่าเสียหายคืนแก่ผู้เสียหายทั้ง 25 ราย ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ประชุมปรึกษาหารือแล้ว วินิจฉัยว่า โจทก์มีผู้เสียหาย 25 คน เบิกความเป็นประจักษ์พยานโดยมีเหตุผลสอดคล้องต้องกันโดยตลอด ขณะที่มีผู้เสียหายยืนยันว่า จำเลยไม่สามารถเรียกให้สามีคนรักกลับมาได้จริง ตามที่กล่าวอ้างโดยบางรายยังถูกจำเลยกระทำล่วงละเมิดทางเพศด้วย ซึ่งจำเลยได้รับในอุทธรณ์ว่า เงินที่ได้มาเป็นค่ายกครู และอุปกรณ์ในการทำพิธี นอกจากนี้ฝ่ายโจทก์ ยังมีนางชไมพร รักษาจิตร์ อดีตภรรยาของจำเลย เบิกความถึงพฤติกรรมของจำเลย ที่ล่วงละเมิดทางเพศกับผู้เสียหาย จนต้องทะเลาะกัน ถึงขั้นที่นางชไมพร เคยยิงปืนขู่ขึ้นฝ้าเพดาน จนจำเลยต้องวิ่งหนีกระโดดออกหน้าต่างทำให้ขาหัก ก่อนที่นางชไมพรจะยื่นฟ้องหย่ากับจำเลยที่ศาลจังหวัดสระบุรี จึงเป็นเหตุที่สนับสนุนว่าจำเลยไม่มีอิทธิฤทธิ์ตามที่อวดอ้างในคำโฆษณาตามสื่อต่างๆ จริง เพราะจำเลยเอง ยังไม่สามารถทำให้นางชไมพร รักกับจำเลยได้ แต่กลับต้องวิ่งหนีจนขาหัก การกระทำของจำเลยมีเจตนาหลอกลวงคนทั่วไปผ่านคำโฆษณา เพื่อเป็นประโยชน์แก่จำเลยเองโดยตรง รับฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาหลอกลวงเอาทรัพย์สินจากผู้เสียหาย ข้อต่อสู้ของจำเลย จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
น่าสนใจว่า กรณีนายวิรพลก็คงจะต้องต่อสู้พิสูจน์อิทธิฤทธิ์กันในศาลด้วย
น่าเสียดาย คนทั้งประเทศก็คงอยากจะเห็นการพิสูจน์อิทธิฤทธิ์ของธัมมชโยในศาลด้วยเช่นกัน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี