วันอาทิตย์ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568
.jpg)
“พระมหาอภิชาต ปุณณจันโท” พระลูกวัดเบญจมบพิตร เป็นพระที่ถูกสังคมตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์เสมอมาว่า พฤติกรรมของเขา เหมาะควรแก่การเป็นพระ เหมาะสมแก่สมณสารูป และเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ หรือไม่อยู่เสมอ เช่นเดียวกับฝ่ายเชียร์ที่ก็ส่งเสริม สนับสนุน เห็นด้วย เอาด้วย ตลอดมา
หากดูในเนื้อแท้ความคิดและคลิปต่างๆ ของเขา ตลอดจนเครือข่ายที่สนับสนุนเขาแล้ว จะพบว่า มีความเกลียดชังศาสนาอิสลามอย่างรุนแรง อภิชาติถึงขั้นเคยปลุกเร้าให้จัดการกับมัสยิดแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ผสมโรงกับบางพวกที่ไม่ได้รุนแรงอย่างนั้น แต่ชอบที่จะได้ “ยืมปาก” อภิชาติด่าเผด็จการ หรือฝ่ายที่ตนไม่ชอบ แทนตัวเอง
กระทั่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวเอพีรายงานว่า พระมหาอภิชาติ ปุณณจนโท ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจับกุมไปจากจังหวัดสงขลา ก่อนจะนำถูกตัวไปลาสิกขาที่วัดเบญจมบพิตร ช่วงค่ำวันที่ 23 กันยายน 2560 โดยเอพีได้อ้างอิงบทสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ดุสิต พรหมสิน รอง ผกก.สส.สภ.สะท้อน จังหวัดสงขลา ซึ่งระบุว่าเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เป็นผู้นำตัวอดีตพระมหาอภิชาติไปจากที่พักใน จ.สงขลา เพื่อนำตัวไปลาสิกขาที่วัดเบญจมบพิตรในกรุงเทพฯ สืบเนื่องจากกรณีที่เขาเผยแพร่วีดีโอออนไลน์ แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นวีดีโอเกี่ยวกับเรื่องใด
เอพียังระบุว่า อดีตพระมหาอภิชาติ เป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์ศาสนาอิสลามอย่างต่อเนื่องในสื่อออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊คและยูทูบ และเคยถูกตักเตือนไม่ให้เผยแพร่ข้อมูลที่เข้าข่ายปลุกระดมยั่วยุผ่านสื่อออนไลน์มาก่อนแล้ว และล่าสุด อดีตพระมหาอภิชาติได้แสดงความคิดเห็นในคลิปวีดีโอที่มีผู้นำไปเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์เมื่อต้นเดือนกันยายน ซึ่งเขาได้กล่าวว่า “จะเอาเรื่องจนถึงที่สุด” กับ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จากกรณีที่ พ.ต.ท.พงศ์พร ทำหนังสือร้องเรียนถึงวัดเบญจมบพิตรที่เป็นต้นสังกัด ระบุว่า อดีตพระมหาอภิชาติเกี่ยวพันกับการเผยแพร่วีดีโอในสื่อออนไลน์ และได้ไปแจ้งความหมิ่นประมาท พ.ต.ท.พงศ์พร ที่ สภ.ระโนด จ.สงขลา ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
บัดนี้ เรื่อง “สึก” หรือไม่สึกนั้น ชัดเจนแล้วว่า สึกแน่!! แต่จะสึกเองหรือถูกจับสึก ลองไล่เลียงข้อมูลกันดูครับ
• 21 ก.ย. 2560 พระครูพิทักษ์รัตนวงศ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรฯ เจ้าคณะแขวงดุสิต เปิดเผยว่า ในวันที่ 23 กันยายน 2560 เวลาประมาณ 18.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจาก
กองบังคับการปราบปราม ประมาณ 20-30 นาย ได้คุมตัวพระมหาอภิชาติมาที่วัดเบญจมบพิตร เพื่อทำพิธีลาสิกขา และพระมหาอภิชาติได้ “ยินยอมลาสิกขาด้วยตนเอง” หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบสวนข้อกล่าวหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับความมั่นคงเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อทำพิธีเสร็จ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็คุมตัวออกไป
• 21 ก.ย. 2560 พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้บังคับการปราบปราม ยืนยันว่า ตำรวจกองปราบปรามไม่ได้เป็นผู้บังคับหรือนำตัวอดีตพระมหาอภิชาติมาลาสิกขา
• 21 ก.ย. 2560 ที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ตนได้รับรายงานมาว่า พระมหาอภิชาติลาสิกขาแล้ว โดยเป็นความต้องการ และความสมัครใจของท่านเอง“ผมคิดว่า การแสดงความคิดเห็นที่ผ่านมาของอดีตพระอภิชาติ กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงทางด้านศาสนา ถ้าฟังคลิปก็จะรู้เอง เจ้าหน้าที่ไม่ได้นำตัวอดีตพระอภิชาติเข้าควบคุมตัวที่ค่ายทหารแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ”
• 21 ก.ย. 2560 นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)ให้สัมภาษณ์ว่า ตนทราบเรื่องดังกล่าวจากสื่อ แต่ยังไม่ทราบรายละเอียด ส่วนพฤติกรรมของพระมหาอภิชาติที่วิจารณ์ศาสนาอื่นอย่างรุนแรงจะทำให้เกิดความขัดแย้งหรือไม่นั้น ถือเป็นความผิดส่วนบุคคลส่วนจะดำเนินคดีอย่างไรต้องถามเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เมื่อถามว่า พระมหาอภิชาติได้วิพากษ์วิจารณ์งานด้านความมั่นคง ต้องขอความร่วมมือเพื่อไม่ให้ความขัดแย้งหรือไม่ นายออมสินกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องคุยกับทางมหาเถรสมาคม (มส.)ว่า เรื่องเหล่านี้จะทำความเข้าใจกับพระทั่วประเทศอย่างไร เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบเรียบร้อย โดยเฉพาะพระวิทยากรต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะการวิจารณ์แล้วเกิดผลกระทบทางลบมันไม่ดี
• 23 ก.ย. 2560 พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีการควบคุมตัวพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท ว่า การดำเนินการดังกล่าวของเจ้าหน้าที่เป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายปกติ เนื่องจากพฤติกรรมที่ผ่านมาของพระมหาอภิชาตเข้าข่ายการดูหมิ่น ให้ร้าย เสียดสีศาสนาอื่น ตามที่ปรากฏอยู่ในสื่อโซเชียลมีเดียและคลิปต่างๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งลุกลามบานปลายและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของบ้านเมืองได้ เพราะเรื่องของศาสนาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน
“การกระทำของพระมหาอภิชาติ ได้รับการตักเตือนจากมหาเถรสมาคมและหน่วยงานด้านความมั่นคงมาโดยตลอด เพราะมีการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงในเชิงปลุกระดม แต่ยังคงมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง จนสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดความเข้าใจผิดระหว่างศาสนา รัฐบาลจึงอยากให้พี่น้องประชาชนและคณะสงฆ์บางส่วน เข้าใจในเจตนาและการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ที่ยึดหลักกฎหมายและประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ โดยไม่ได้ต้องการให้เกิดผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาหรือพระธรรมวินัยแต่อย่างใด นับจากนี้ไปทุกอย่างจะเข้าสู่ขั้นตอนตามกฎหมาย โดยขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร ไม่หลงเชื่อหรือตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือความคิดเห็นทางศาสนาที่แตกต่างกัน”
ทีนี้ มาดูปฏิกิริยาของบางฟากฝ่ายกันดูบ้าง มีประเด็นที่ถูกหยิบมาเล่นอยู่ไม่กี่ประเด็นคือ
1.สึกพระในพรรษาได้อย่างไร จิตใจหยาบช้าสามานย์
2.ทำไมไม่ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ใช้อำนาจอย่างเผด็จการ
3.ทำไมปกป้องมุสลิมมากกว่าพุทธ
ยกตัวอย่างเช่น...
► 21 ก.ย.2650 เพจ “อีสานไม่เอามัสยิด” (ซึ่งควรที่ฝ่ายความมั่นคงจะดำเนินการด้วยเช่นกัน) ได้โพสต์ข้อความถึงเรื่องนี้ว่า... “เรื่องการจับสึกพระมหาอภิชาติ ทำให้เหมือนเติมพละกำลังให้แข็งแกร่งในการต่อสู้และต่อต้านมันให้ถึงที่สุด” พระมหาอภิชาติ ทำผิดเรื่องอะไร ผิด พ.ร.บ.คอมพ์ เพราะไปวิจารณ์มุสลิมอิสลามหรือผิดกฎหมายอาญาอะไร มีหมายศาลจับหรือไม่ ผิดทำใมไม่ไปฟ้องศาลให้ศาลตัดสิน ใช้อำนาจเถื่อนบุกถึงวัดจับพระสึกกลางพรรษาโดยไม่มีการกล่าวตักเตือนให้ระงับอะไรมาก่อน เรื่องนี้พระผู้ใหญ่ต้องชี้แจงให้ชัดและพระมหาอภิชาติมีแต่วิจารณ์ศาสนาอื่น แต่ไม่ได้สร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์เหตุอะไรจึงจับสึกกลางพรรษา พระมหาอภิชาติ ถือว่าเป็นอีกตัวแทนของกลุ่มปกป้องศาสนาตัวเองถึงแม้จะสุดโต่งแต่ก็มีกลุ่มพุทธแนวร่วมต่างๆ มากมายที่เป็นพุทธ การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการกระทำไม่ละมุนละม่อม เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่การกระทำแบบไม่ไว้หน้าชาวพุทธบางกลุ่ม แต่ไปเอาใจให้กับชาวมุสลิมอย่างออกหน้าออกตา ช่องทางมีหลายช่องทางที่สามารถเจรจากับท่านพระมหาอภิชาติ แต่เจ้าหน้าที่เลือกที่จะบังคับจับสึกกลางพรรษา น่าอนาถใจชาวพุทธยิ่งนัก
► พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ แห่งวัดสร้อยทอง ได้แสดงความเห็นถึงกรณีดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊ค ระบุข้อความว่า “...ถึงอาตมาจะไม่เห็นด้วยกับแนวทางและวิธีการคิดของพระมหาอภิชาติ ที่มีต่อประเด็นความขัดแย้งทางศาสนา แต่กับพฤติกรรมอันจะกล่าวว่าเลวทรามยังน้อยไป ของเจ้าหน้าที่รัฐในครั้งนี้ ที่กระทำการหักหาญน้ำใจชาวพุทธอย่างถึงที่สุด ด้วยการควบคุมตัวและบีบบังคับให้พระมหาอภิชาติต้องลาสิกขาสละสมณเพศ ในระหว่างที่ยังอยู่จำพรรษา โดยมิได้กระทำอย่างเปิดเผย และโปร่งใส หรือให้โอกาสท่านได้ต่อสู้และชี้แจง ตามกระบวนความยุติธรรม อย่างที่ท่านควรจะได้รับ
อาตมาจึงขอประกาศแสดงความประณาม ด้วยความรู้สึกสลดสังเวชและเวทนา ต่อเจ้าหน้าที่รัฐทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้อำนาจหน้าที่อย่างเกินเลยและป่าเถื่อน ต่อท่านพระมหาอภิชาติ
จนมีผลทำให้ท่านต้องสละสมณเพศในคราวนี้ ขอให้ผลของกรรมที่พวกท่านได้ก่อขึ้น จงส่งผลย้อนสนองถึงพวกท่านทุกคนในเร็ววัน ดังพระศาสโนวาทของพระศาสดาที่ว่า ยํ กมฺมํ กริสฺสนฺติ กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ตสฺส ทายาทา ภวิสฺสติ นั่นแล...”
► นายไพศาล พืชมงคล กรรมผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์เฟซบุ๊คว่า
“ปลุกระดมกันใหญ่ว่าทหารสึกพระกลางพรรษาเพราะเอาใจมุสลิม หมายให้คนด่ารัฐบาล ด่า คสช. ด่ากองทัพบก ไม่สำเร็จหรอกครับ(ช่วยกันแชร์ให้เกิดความเข้าใจด้วยครับ) พวกตาอยู่เขาถนอมตัว อมสากไว้ปล่อยให้คนด่ารัฐบาลด่ากองทัพ ไม่กล้าชี้แจงอะไร
จากข่าวสารที่ปรากฏ พอทำความเข้าใจบางประเด็นได้ดังนี้
1) การจะจับสึก ย่อมไม่ใช่จับสึกเพราะเอาใจมุสลิม การจับสึกจะทำได้ 2 กรณีคือเป็นปาราชิกหรือทำผิดอาญาที่ต้องจับดำเนินคดีเช่นข้อหายุชาวพุทธให้เผามัสยิดเป็นต้น แม้ข่าวที่เอามาด่ารัฐบาลก็ยอมรับเองว่าเจ้าคณะที่สังกัดทำการสึก และยังมีคลิปการยุยงที่ส่อว่าผิดกฎหมายผิดพระธรรมวินัยหลายคลิป ถ้าเช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว
2) การสึกระหว่างพรรษาถือกันว่าไม่เป็นมงคล ในปริบทว่าสิกขายังไม่จบแล้วละความเพียรเสียกลางคัน หากเป็นปาราชิกเวลาไหนก็ขาดจากความเป็นพระเวลานั้น หรือถูกจับดำเนินคดีอาญาเวลาไหน ก็จับสึกเวลานั้น
อย่าเอาเรื่องสึกในพรรษามาหลอกให้หลงว่าไม่เคารพพระธรรมวินัยเลย ผู้รู้จะติเตียนว่ามีเถยจิตคิดปองใส่ร้ายผู้อื่นอันเป็นบาป”
► ► ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2559 สำนักข่าวไวท์ ชาแนล ได้โทรศัพท์สัมภาษณ์ นายซาการียา สุขจันทร์ หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ จากกรณีเรื่องพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท หัวหน้าพระวิทยากรประจำพระอารามหลวง วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ถ่ายคลิปวีดีโอปลุกปั่นให้ชาวพุทธเผามัสยิด และสังหารชาวมุสลิม ถ้าพระสงฆ์ถูกฆ่า 1 คนที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยกล่าวว่า “ พระคนนี้ท้าทายอำนาจของรัฐบาล มองว่ารัฐบาลไม่มีน้ำยา ถึงกล้าออกมาเย้ยหยันครั้งแล้วครั้งเล่า.... แต่ถ้าเป็นมุสลิม แค่ออกมาพูดถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของปัตตานีก็ยังโดนเลย...”
ทนายซาการียา กล่าวต่อไปว่า กรณีนี้ผิดกฎหมายความมั่นคงอย่างชัดเจน เป็นความผิดทางอาญาที่ร้ายแรง ไม่ใช่ความผิดธรรมดา ตามมาตราที่ 85 ขอรณรงค์ให้สำนักจุฬาราชมนตรี คณะกรรมการกลางแห่งประเทศไทย และพี่น้องมุสลิม เข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีได้ที่สน.ใกล้บ้าน และยื่นเรื่องให้รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และให้กระทรวงมหาดไทยถอนพระอภิชาติจากการเป็นพระได้เลย
หนึ่งในนักข่าวถามกับทนายซาการียาว่า ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมมุสลิมในประเทศไทย? ทนายเตือนว่าอย่าได้ชะล่าใจในเรื่องเช่นนี้ เพราะเกรงว่าอาจมีเหตุการณ์ที่ไม่ต่างจากที่พม่า และที่เกิดขึ้นแล้วทั่วโลก ที่มีผู้แทรกแซงสร้างความแตกแยกในสังคม ให้กลัวไว้ก่อน ไม่ควรชะล่าใจ ถ้ายังมีคนยุยงเป็นประจำๆ อยู่ทุกๆ วันเช่นนี้
สรุป :: ทั้งหมดที่ได้ประมวลมานี้ เพื่อจะบอกว่า
1) ความคิดเรื่องเอาศาสนามาเป็น “ความต่าง” มา “สร้างความบาดหมาง” ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่จะปล่อยกันไว้ จนลุกลามบานปลายดังนั้น หากระงับได้ควรระงับ และควรมีมาตรการสมานบาดแผลที่คนเหล่านี้พยายามจะปลุกเร้ากันไว้ด้วย ก่อนจะกลายเป็น “สงครามเข่นฆ่ากัน” ดังที่เกิดแล้วในรัฐยะไข่และอีกหลายรัฐของเมียนมา
2) แต่การดำเนินการ ต้องมีการสื่อสาร สร้างการรับรู้ เพื่อลดข้อโต้แย้งและการสร้าง “ข่าวลืออันเป็นเท็จ” ของฝ่ายสนับสนุนแกนนำชังเพื่อนต่างศาสนา ซึ่งเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ผ่านไลน์และสื่อใต้ดินต่างๆ มากมาย ซึ่งฝ่ายความมั่นคงควรจะหันมาใส่ใจและปราบปราบได้แล้ว
3) รัฐต้องส่งตัวแทนออกมาแจ้งความคืบหน้าในการดำเนินคดีตามกฎหมายกับนายอภิชาติเป็นระยะ เพื่อให้เรื่องนี้ไม่คลุมเครือ และดูเป็นการใช้อำนาจอย่างเผด็จการหรือศาลเตี้ย พร้อมๆ กับแจกแจงความผิดตามกฎหมายที่ได้ตั้งข้อหากับเขาด้วย
อย่าให้ “ความคลุมเครือ” กลายเป็น “ความชอบธรรม” ของอีกฝ่าย
แผ่นดินนี้อยู่กันกับความต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา มานานนับพันๆ ปี โดยไม่เคยเกิดปัญหาใดๆ อย่าให้ใครนำเรื่องนี้มาใช้ “แยกแผ่นดิน-แยกผู้คน” ออกจากกัน ด้วยความเกลียดชังใน “ศรัทธา” ที่ต่างกันเลย อย่าได้นอนใจกับเรื่องนี้เลย มันน่ากลัวเกินกว่าที่เราจะเฉยเมยให้เมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังแบบนี้ งอกในใจคน!

ด่วน!ประกาศ‘เคอร์ฟิว’ 5 อำเภอ‘ตราด’ หลัง‘บก ฉก.นย.’ถูก M79 ยิงถล่ม พบพิกัดจากในประเทศ
พบโดรนปริศนาบินว่อนทั่วเมืองตราด ไทย-เขมรปะทะเดือดกลางดึก แนวรบบ้านชำราก
‘ทภ.2’รายงานแนวรบชายแดนไทย-กัมพูชายังตึงเครียด ‘ศึกตาควาย’ยังไม่จบ ต้องรบต่อ
เจอจะๆหลักฐานมัด‘กัมพูชา’ พบขุดคูเลต-สร้างบังเกอร์-ฐานยิงปืนใหญ่รอบ‘ปราสาทคนา’
‘นิพิฏฐ์’เสียดาย‘สส.พัทลุง’ทิ้ง‘ปชป.’ ย้อนอดีตเป็นผู้ตัดสายสะดือ วันนี้ยืนอย่างเดียวดาย

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี