พลันที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เผยมธุรสวาจาว่า “ผมเป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร” สื่อมวลชนนักการเมือง นักวิชาการ นักวิจารณ์การเมืองทั้งเทศ-ไทยวิจารณ์กันให้ขรมว่า เป็นสัญญาณสืบทอดอำนาจของ คสช. แถมยังวิเคราะห์กันต่อไปว่า ฝ่ายอำนาจนิยมสืบทอดอำนาจผ่านการเลือกตั้ง ทั้งในประเทศไทยกัมพูชาและมาเลเซีย
นายโจชัว เคอร์แลนสติก โวว่าเป็นนักวิชาการเชี่ยวชาญการเมืองในเอเชียตะวันออกของสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือ CFR ซึ่งเป็น think tank ของทุนนิยมสามานย์ในสหรัฐอเมริกาเสนอบทวิเคราะห์ว่า “2018 ปีแห่งการเลือกตั้งอันตรายที่ฝ่ายอำนาจนิยมเผด็จการคราบประชาธิปไตย ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ ประเทศไทย มาเลเซีย และกัมพูชาจะได้สืบทอดอำนาจต่อไป”
การจับแพะชนแกะเอาประเทศไทย ไปรวมกับการสืบทอดอำนาจนิยมในคราบประชาธิปไตยในมาเลเซียและกัมพูชา เป็นการวิเคราะห์ที่ไม่เป็นธรรมต่อประเทศไทยและไม่เข้าใจบริบทสังคมการเมืองว่า ประเทศไทยแตกต่างกับสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา อย่างไร โดยไม่ตระหนักว่าวัฒนธรรมทางการเมืองของมาเลเซียและกัมพูชา ต่างก็ได้รับการปลูกฝังมาจากอดีตเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสและอังกฤษ ที่สำคัญทั้งสองประเทศผ่านความขัดแย้งรุนแรง เมื่อผ่านสงครามกลางเมืองมาได้ สองประเทศก็ได้ร่วมกันสร้างการปกครองประชาธิปไตยและได้สร้างพรรคการเมืองไว้เป็นฐานรองรับการปกครองแบบประชาธิปไตยได้อย่างมั่นคงถาวร
มาเลเซียมีพรรคอัมโน แปลงมาจาก United Malays National Organization องค์กรที่เคยต่อสู้เพื่ออิสรภาพจากอังกฤษ อัมโนก่อตั้งเมื่อ 11 พ.ค.1946 ลงแข่งขันทางการเมืองตั้งแต่ปี 2512 ซึ่งมี 12 พรรค เข้ามาอยู่ร่วมงานการเมืองกับอัมโนอย่างเหนียวแน่น ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา พรรคอัมโนผูกขาดการครองอำนาจบริหารมาเลเซียตั้งแต่ยุคนายอับดุล ราซัก บิน ฮุเซน บิดานายราจิบ นาซัก นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย 6 คนที่ผ่านมา ล้วนมาจากพรรคอัมโน ในจำนวนนี้มีมหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีคนที่สาม ครองอำนาจตั้งแต่ปี 2522 ถึง 2546 ในห้วงเวลา 22 ปี มหาเธร์ใช้ทั้งพระเดชและพระคุณอย่างเข้มข้น ทำให้ความนิยมในพรรคอัมโน ยังคงเหนียวแน่นโดยเฉพาะในหมู่คนมาเลย์ดั่งเดิม
นายราจิบ นาซัก นายกฯคนปัจจุบันที่มีปัญหารุมเร้าอันเนื่องมาจากเงินกองทุนพัฒนามาเลเซีย(1MDB) จำนวน 681 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 23,500 ล้านบาท ที่ตรวจพบความผิดปกติในบัญชีของเขา ข้อกล่าวหาว่านายราจิบคอร์รัปชั่นขยายจากมาเลเซียถึงอเมริกา เมื่อสหรัฐฯสั่งอายัดทรัพย์สินที่สงสัยว่า นำมาฟอกเงินและซุกซ่อนไว้ในรัฐต่างๆมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ แต่ถึงแม้จะมีปัญหารุมเร้าอย่างไร นายโจชัว ฟันธงว่า นายราจิบจะชนะการเลือกตั้งที่คาดหมายว่าจะมีขึ้นในเดือน ส.ค. 2561
จากมาเลเซียมาดูการเมืองกัมพูชา พรรคประชาชนกัมพูชา เปลี่ยนจากคำว่า กัมพูเชียน Kampuchean People Party (KPT)ในยุคปฏิวัติเขมรแดงในปี 2522 มาเป็นแคมโบเดียน Cambodian People Party (CPP) ในปี 2534 ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามกลางเมืองและมีเลือกตั้งทั่วไปในปี 2535 พรรคประชาชนกัมพูชาอยู่เคียงข้างชาวกัมพูชามาทั้งในยามทุกข์ ยามสงครามกลางเมือง ไม่เคยหนีไปออสเตรเลีย เยอรมัน ฝรั่งเศส หรืออเมริกา ความผูกพันของนายฮุนเซ็น กับชาวกัมพูชามีมาอย่างต่อเนื่องสี่ทศวรรษ
ประเทศที่ฟื้นฟูจากซากปรักหักพังสงครามต้องใช้ทั้งพระเดชพระคุณ ในการบริหารการฟื้นฟูประเทศที่ต้องใช้ความต่อเนื่องนี้ คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พรรคประชาชนกัมพูชาชนะการเลือกตั้งตลอดมา KPT หรือ CPP อยู่เคียงข้างชาวกัมพูชามาตั้งแต่ยุคสงครามกลางเมือง นายฮุนเซ็นเป็นนายกฯกัมพูชาตั้งแต่ปี 2527 ประกาศว่า จะเป็นนายกฯต่อไปอีก 10 ปี เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ มองจากทัศนะตะวันตก นายฮุนเซ็น เป็นนักการเมืองอำนาจนิยมเผด็จการในคราบประชาธิปไตย แต่ในสายตาชาวกัมพูชาส่วนใหญ่มองว่า นายฮุนเซ็น เป็นคนรักชาติที่ไม่ยอมให้ต่างประเทศเข้ามายุยงปลุกปั่นทำลายให้เขมรกลับไปสู่สงครามกลางเมืองอีก
มองการเมืองมาเลเซียกับกัมพูชา ถึงเวลาหันมาพิจารณาความจริงของการเมืองไทย ถ้ามองด้วยสายตาคนธรรมดาสามัญ จะพบว่าประเทศไทย เป็น “สมรม” (ผสมผสานปนเป) กันระหว่างอำนาจนิยมประชาธิปไตยและเผด็จการ ไม่ใช่มาจากทหารฝ่ายเดียว เผด็จการส่วนใหญ่มาจากพลเรือนทุนสามานย์ที่ใช้ทหารเป็นเครื่องมือ
การยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475 คือก้าวแรกที่ทหารถูกพลเรือนหลอกให้นำกำลังออกมาปล้นพระราชอำนาจ ทันทีที่ยึดอำนาจได้ พลเรือนก็หลอกใช้ต่อไปด้วยการเขียนรัฐธรรมนูญที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ใส่แนวทางคอมมิวนิสต์สอดไส้ จนทหารอย่างพระยาทรงสุรเดชทนไม่ได้ ผรุสวาทว่า “คุณหลวงทำป่นปี้ฉิบหาย ตกลงกันไว้ว่าเขียนรัฐธรรมนูญแบบอังกฤษ ดันเขียนลัทธิคอมมิวนิสต์สอดไส้” ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกจึงมิได้ลงพระปรมาภิไธยจนกว่าจะแก้ไข นั้นคือที่มาของความขัดแย้งระหว่างทหารบางกลุ่มกันพลเรือนผู้ร่างรัฐธรรมนูญ เป็นต้นเหตุให้คณะราษฎรแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ผลัดกันขบถ ผลัดกันยึดอำนาจ ผลัดกันแก้กฎหมาย ผลัดกันฆ่ากันตายทำให้ประเทศไทยเสียเวลา 25 ปี
นักวิชาการรัฐศาสตร์การปกครอง กล่าวว่า “พรรคการเมืองคือหัวใจ” ของการปกครองแบบประชาธิปไตย ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมา นอกจากพรรคประชาธิปัตย์ ในประเทศไทยไม่มีพรรคการเมืองพรรคไหนที่เรียกได้ว่าเป็นสถาบันการเมือง เรามีแต่พรรคเฉพาะกิจเฉพาะกาลที่หัวหน้าพรรคตั้งขึ้นเพื่อเลือกตั้งครั้งใดครั้งหนึ่ง แล้วจะมีเวลาที่ไหนไปพัฒนาประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์ก่อตั้งเมื่อวันที่ 5 เม.ย.2489 ในยุคแรกปชป.สู้กับเผด็จการทหารที่ใช้ตำรวจเป็นมือสังหารไล่ล่าฆ่าคู่แข่งทางการเมืองอยู่สิบปี พ.ศ.2498 ตำรวจทหารตั้งพรรคเสรีมนังคศิลาเพื่อรองรับ จอมพลป.พิบูล สงคราม แต่พรรคตำรวจทหารก็มีอายุได้แค่ 2 ปี 83 วัน ถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัติ ยุบพรรคมนังคศิลา มารวมกับพรรคชาติสังคม
จอมพล.สฤษดิ์นายทหารบ้านนอกผู้รักชาติศาสน์ กษัตริย์ ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดพัฒนาประเทศด้วยคำขวัญ “ชาติปลอดภัย น้ำไหล ไฟสว่าง ทางสะดวก” ประเทศไทยจึงได้เริ่มพัฒนาหลังจากเสียเวลา 25 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกประกาศใช้ตั้งแต่รัฐบาลนี้และที่สำคัญท่านเป็นผู้ที่ฟื้นฟูประเพณีถวายความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จากการถูกข่มเหงรังแกคุกคามมาก่อนหน้า สิ้นจอมพลสฤษดิ์ พ.ศ.2507 จอมพลถนอม กิตติขจร ตั้งพรรคสหประชาไทยขึ้นมารองรับอำนาจเมื่อ 24 ธ.ค.2511 พรรคสหประชาไทยอยู่ได้ไม่ถึง 3 ปี วันที่ 14 ต.ค.2516 นักศึกษาประชาชนปฏิวัติประเทศไทยครั้งใหญ่ พรรคสหประชาไทยก็สูญหายไปจากโลก หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2517 พรรคการเมืองเกิดขึ้นมามากมาย และในสี่ทศวรรษที่ผ่านมา มีพรรคการเมืองเกิดขึ้นในประเทศไทยแล้วไม่น้อยกว่า 300 พรรค และล้มหายตายจากไปหลังการเลือกเพียงครั้งเดียวกว่า 90 เปอร์เซ็นต์
นี่คือเหตุผลที่ไม่เห็นด้วยกับการเหมารวมว่า การเลือกตั้งปี 2561 คือการต่อเนื่องของอำนาจนิยม ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะบริบทและวัฒนธรรมการเมืองแตกต่างกัน ประเทศมาเลเซียกับกัมพูชาได้วางรากฐานพรรคการเมืองและกระชับอำนาจอย่างเป็นระบบมายาวนาน แต่บ้านเรามีแต่พรรคเฉพาะกิจ พรรคหัวหน้าตั้งชั่วครั้งชั่วคราว คนไทยไม่ชอบทำงานการเมือง คนไทยนิยมเล่นการเมือง และพรรคการเมืองคือของเล่น ทุกครั้งที่เลือกตั้งจะมีพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้นหลายสิบพรรค นักวิชาการ นายทหาร นักเคลื่อนไหวทางการเมือง พอมีชื่อเสียงพอดังขึ้นมาจากสถานการณ์ใดหรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อได้เป็นวีรบุรุษมีชื่อเสียงแล้ว สิ่งแรกที่นึกได้คือตั้งพรรคการเมือง ประเทศไทยจึงแทบไม่มีพรรคไหนอยู่รอดจนถึงการเลือกตั้งสมัยที่สอง
พรรคไทยรักไทย ก่อตั้ง 14 ก.ค. 2541 ถูกศาลสั่งยุบ 30 พ.ค. 2550 พรรคพลังประชาชน อยู่ได้ไม่ถึง 2 ปีก็ถูกยุบ พรรคเพื่อไทยอยู่มาได้ 4-5 ปี ไม่นานก็ต้องสลายตัวเพราะเจ้าของพรรคอยู่ในภาวะ “แพ้ญญ่าย พ่ายจะแจ” ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นบทเรียนแก่คนที่กำลังคิดตั้งพรรคเพื่อรองรับนายกฯคนต่อไป บอกให้ก็ได้ว่า ไม่ต้องตั้งพรรคใหม่ เพราะพรรคที่มีอยู่แล้วเขาพร้อมจะเป็นบันไดให้ลุงตู่ ได้ก้าวเหยียบเข้าทำเนียบต่อไป ทั้งนี้เพราะเมืองไทยไม่ใช่เผด็จการอำนาจนิยม แต่เป็น “สมรมประชาธิปไตย”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี