1.จากแผ่นดินเหนียวเผาสู่เงินดิจิทัล
บิทคอยน์ (Bitcoin) เป็นรูปแบบเงินตราแบบใหม่ เป็นเงินตราแบบดิจิทัล (Digital Currency/Crypto-Currency หรือ Cryptography) กำเนิดขึ้นในปี 2552 ถือเป็นเงินดิจิทัลสกุลแรก โดยระยะเริ่มต้น 1 บิทคอยน์ (BTC) มีมูลค่าเพียง 10 เซ็นต์ หรือประมาณ 3.2 บาท ในระบบเงินตราแบบดิจิทัล นอกจากบิทคอยน์แล้ว ยังมี ไลท์คอยน์ (Litecoin), เพียร์คอยน์ (Peercoin), มาสเตอร์คอยน์ (Mastercoin) ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2554,2555 และ 2556 ตามลำดับ รวมถึงเงินดิจิทัลสกุลอื่นๆ อีกมากที่เกิดขึ้นในปีต่อๆ มา
รูปข้างล่างเป็นรูปของเหรียญเงินบิทคอยน์ซึ่งระบุปี 2552 (ค.ศ.2009) อันเป็นปีแรกที่เงินดิจิทัลสกุลนี้ได้เผยโฉมออกมา ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นข้อความที่เขียนว่า “IN CRYPTOGRAPHY WE TRUST” (เราเชื่อมั่นในระบบเงินตราแบบดิจิทัล) ที่เขียนล้อไปกับข้อความในธนบัตรดอลลาร์สหรัฐที่เขียนว่า “IN GOD WE TRUST” (เราเชื่อมั่นในพระเจ้า)
ข้อความดังกล่าวบนเหรียญของบิทคอยน์หรือในธนบัตรดอลลาร์สหรัฐ ทำให้หวนไปนึกถึงข้อความบนแผ่นดินเหนียวเผาของชาวเมโสโปเตเมีย เมื่อสักสี่พันกว่าปีก่อนที่คนยุคนั้นได้ใช้แผ่นดินเหนียวเผา (a clay tablet) บันทึกการทำธุรกรรมเกี่ยวข้องกับผลผลิตทางการเกษตร การกู้ยืมพืชผลระหว่างกัน หลักฐานตรงนี้ยังบ่งบอกต่อไปอีกว่า เมื่อแรกเริ่มเดิมที มนุษย์เรายังไม่ได้มานั่งบันทึกอะไรต่างๆ ที่เป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์ บทกวี หรือปรัชญาความคิด แต่เรื่องราวแรกๆ ที่มนุษย์ทำการบันทึกกลับกลายเป็นเรื่องการทำมาหากินหรือเป็นการจดบันทึกข้อมูลเพื่อทำธุรกิจ ดังเช่น คนยุคเมโสโปเตเมียที่ได้จด/สลักข้อมูลไว้บนแผ่นดินเหนียวเพื่อบันทึกการทำธุรกรรมต่างๆ ซึ่งก็ไม่ต่างจากสมัยปัจจุบันนี้ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ต้องให้ความสำคัญหรือก้าวพ้นกับปัญหาเรื่องปากท้องไปเสียก่อน หลังจากนั้นถึงจะค่อยหันมาซาบซึ้งกับปรัชญาความคิด ความงามของบทกวี ไปจนถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
แผ่นดินเผาโบราณของชาวเมโสโปเตเมีย (Clay Tablet)
แผ่นดินเหนียวเผาของชาวเมโสโปเตเมีย เมื่อกว่าสี่พันปีก่อนนั้นถือเป็น “เงิน” ชนิดหนึ่ง โดยมีข้อความที่เขียนหรือจารึกไว้ในบนแผ่นดินเหนียวเผาประมาณว่า อามิล-มิร์รา (Amil-mirra) จะจ่ายข้าวบาร์เลย์ 330 ถัง ให้กับผู้ถือครองแผ่นดินเผานี้ เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว” และไม่ใช่เฉพาะแต่แผ่นดินเหนียวเผาที่ใช้บันทึกการทำธุรกรรมทางการเกษตรเท่านั้น ในสมัยนั้นชาวเมโสโปเตเมียก็เริ่มใช้ โลหะ เช่น ก้อนเงิน ห่วงเงิน แผ่นเงิน เป็นเงินตราควบคู่ไปกับแผ่นดินเหนียว ตัวอย่างเช่น แผ่นดินเหนียวบางแผ่นสลักว่าประมาณว่า “ขอให้จ่ายเงินแก่ผู้ถือครองนี้ เมื่อการเดินทางได้สิ้นสุดลง” และด้วยหลักคิดที่ว่า เงินคือสื่อกลางของการแลกเปลี่ยน (a medium of exchange) จารึกบนแผ่นดินเหนียวเผาก็ไม่ต่างจากข้อความบนธนบัตร (Bank note) ในยุคปัจจุบัน
ดังเช่น บนธนบัตรอังกฤษ มีข้อความว่า “...ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะจ่ายเงินตามความต้องให้กับผู้ถือครองเป็นจำนวน........”. หรือ “I promise to pay the bearer on demand the sum of ....”
ธนบัตรสหรัฐอเมริกา มีข้อความว่า “This note legal tender for all debts, public and private” คล้ายกับธนบัตรของไทยที่ก็เขียนว่า “ธนบัตรเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย” ข้อความเหล่านี้ล้วนบ่งบอกความจริงว่า โดยตัวของมันแล้ว ธนบัตรเป็นเพียงแผ่นกระดาษที่ไม่มีค่าอะไร แต่เพราะมันเป็นคำสัญญาว่าจะจ่าย......
คำสัญญาว่าจะจ่าย....ในธนบัตรสมัยใหม่นี้ก็ทำหน้าที่อย่างเดียวกันกับคำจารึกบนแผ่นดินเหนียวเผาของชาวเมโสโปเตเมียเมื่อ 4,000 กว่าปีที่แล้ว แต่ที่สิ่งที่ทำให้มันดูน่าเชื่อถือมากขึ้นก็คือมันเป็นคำสัญญาจาก “รัฐบาลไทย” พร้อมด้วยการลงลายเซ็นกำกับคู่กันของทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือบนธนบัตรอังกฤษที่เขียนว่า “Bank of England” พร้อมกับข้อความว่า “For the Governor and company of the Bank of England” ส่วนธนบัตรสหรัฐอเมริกาก็จะพบข้อความว่า “Federal Reserve Note” และ “The United States of America” และมีลายเซ็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำกับเช่นกัน
แต่ในทางตรงกันข้าม เงินในระบบเงินตราแบบดิจิทัลจำพวก บิทคอยน์ ลิตรคอยน์ เพียร์คอยน์ มาสเตอร์คอยน์หรือตระกูล (......)คอยน์ อื่นๆ อีกมากมาย จะไม่มีข้อความหรือลายเซ็นของบรรดารัฐมนตรีคลังหรือผู้ว่าธนาคารกลางดังที่กล่าวมา เพราะระบบเงินตราแบบดิจิทัลนี้ยังไม่ได้ถูกควบคุมหรือกำกับดูแลโดยธนาคารกลางของในแต่ละประเทศ และก็ไม่ได้อยู่ในระเบียบการเงินระหว่างประเทศที่มีกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลกบาล (supranational organization) เป็นผู้ดูแลอยู่อีกชั้นหนึ่ง
เงินดิจิทัลสกุลต่างๆ เหล่านี้ไม่มีสินทรัพย์ประเภททองคำ ทุนสำรองธนบัตร ทุนสำรองระหว่างประเทศหรือเงินสกุลหลักประเภท ดอลลาร์สหรัฐ เงินยูโร เงินปอนด์มาหนุนหลัง มูลค่าของเงินดิจิทัลอย่างเงินบิทคอยน์นั้นอยู่ที่ความเชื่อมั่นในตัวเงินบิทคอยน์ล้วนๆ อยู่ที่ความเชื่อมั่นในระหว่างกลุ่มผู้ใช้เงินสกุลดิจิทัลทั่วโลกว่ามันจะเป็นเงินตราในอนาคตต่อไป
หลักความเชื่อมั่นนี้อาจจะเปรียบเทียบได้กับความเชื่อมั่นในเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ที่ทุกวันนี้ถึงแม้ประเทศสหรัฐจะมีหนี้สาธารณะมากมายมหาศาล (ประมาณ 20.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ ปัจจุบัน) เป็นลูกหนี้ของรัฐบาลอื่นอีกหลายๆ ประเทศโดยเฉพาะเจ้าหนี้รายใหญ่อย่างรัฐบาลจีน อย่างไรก็ตาม เงินดอลลาร์สหรัฐก็ยังคงเป็นสกุลเงินที่คนส่วนใหญ่เชื่อถืออยู่ แม้กระทั่งเงินหยวนของรัฐบาลพญามังกรที่มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ แต่ ณ ตอนนี้ คนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่ถือธนบัตรดอลลาร์ของรัฐบาลพญาอินทรีผู้เป็นลูกหนี้มากกว่า ด้วยเพราะความที่คนส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อมั่นในเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอยู่
ด้วยหลักการเดียวกันนี้เอง ความเชื่อมั่นที่มีต่อเงินตราแบบดิจิทัลสกุลบิทคอยน์ (และอาจจะรวมไปถึงความต้องการเก็งกำไร) ทำให้นับจากปี 2552 ซึ่งเป็นปีแรกที่เงินสกุลนี้ได้เผยโฉมออกมาด้วยมูลค่าที่เริ่มจากศูนย์กลายมาเป็น 10 เซ็นต์ หรือประมาณ 3.2 บาท ทำให้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 เงิน 1 บิทคอยน์ (BTC) มีมูลค่าขึ้นไปที่ 1,110 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ทั้งๆ ที่ในต้นปีเดียวกัน 1 BTC ยังมีมูลค่าเพียงแค่ 13.5 USD
มกราคม 2557 เงินบิทคอยน์ตกลงมาเหลือประมาณ 937 USD ต่อ 1 BTC และตกลงมาเหลือประมาณ 445 USD ต่อ 1 BTC ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2557 และกลับขึ้นไปที่ประมาณ 620 USD ในเดือนกรกฎาคม 2557 หลังจากนั้น 1 BTC ก็วิ่งไปมาอยู่ที่หลักพันดอลลาร์ต้นๆ ไปจนถึงปลายปี 2559
นับตั้งแต่ ต้นปี 2560 ค่าของเงินบิทคอยน์ก็เริ่มทะยานพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ทุกวัน โดยทำสถิติขึ้นไปสูงสุดที่ 19,891 USD ต่อ 1 BTC เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2560 และตกลงไปกว่า 30% อยู่ที่ประมาณเกือบ 12,000 USD ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น แต่ก็ดีดตัวกลับขึ้นมาใหม่อยู่ที่ประมาณ 15,000 USD ในช่วงวันคริสต์มาส ปี 2560
ฐิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี