ในวันที่เดินทางไปกองปราบฯคดีหลานรักกับลูกรัก โดนข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่น แกก็ยังสำแดงเดชวาจา
ประกาศกร้าว เพื่อไทยจะได้ สส.มากกว่า 250 ที่นั่ง แน่นอน!
แถมพูดฉวัดเฉวียน เชิงขู่ ว่าปลดล็อกหาเสียงได้เมื่อไหร่ จะปราศรัยให้เห็นว่าใครทำอะไรไว้ตอนชัตดาวน์
ผนวกกับก่อนหน้านั้น แกแสดงความมั่นใจว่า ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีอย่างแน่นอน
โดยปรากฏคลิปงานวันเกิดของนายวัน อยู่บำรุง ในคลิปดังกล่าวนั่นเอง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กล่าวกับผู้มาร่วมงานจำนวนมาก ท่ามกลางเสียงครึกครื้น เนื้อหาระบุว่า
...ขออนุญาตพี่น้องที่เคารพ ผมขอรบกวนเวลาสัก 3 นาที วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดลูกวัน อยู่บำรุง ผมนึกถึงสโลแกน ใจถึงพึ่งได้ ชีวิตเขากับผมคล้ายคลึงกันเฉียดคุกเฉียดตะราง เข้าคุกออกจากคุก สุดท้ายก็ปลอดภัย บรรดาพรรคพวกไม่ต้องห่วงเขา มันเป็นคดีความไปแล้วก็ไปรอศาลพิสูจน์ว่า ผิดหรือถูกหรือไม่
ผมมั่นใจว่า วันหนึ่งเมื่อผมวางมือทางการเมือง นายวัน อยู่บำรุง จะได้เป็นรัฐมนตรี (ท่ามกลางเสียงเฮสนั่น) ไม่มีอย่างอื่นให้แปรเปลี่ยนได้ พูดง่ายๆ เหมือนเล่นไฮโล เปิดไฮโลแทง นายวัน อยู่บำรุง เล่นไฮโลรอบนี้ คือ การเมืองไม่มีเสีย เพราะมีแต่ชนะ ชนะ ชนะ (เสียงเฮดัง)
พี่น้องทั้งหลาย ที่ผมเงียบๆไปเนี่ย ไม่ใช่กลัวใคร ความกลัวทำให้เสื่อม ขอให้ คสช.ปลดล็อก แน่จริงปลดล็อก อย่าไปนึกว่า ผมกลัว ไม่มีกลัว ปลดล็อกเมื่อไหร่ มึงอยู่ กูไป มึงไป กูอยู่ แต่พวกกูต้องอยู่ เพราะกูนามสกุลอยู่บำรุง (เสียงเฮดัง)....
1. ไม่ต้องไปวิเคราะห์อะไรมาก คุณเฉลิม แกก็เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร
ช่วงนี้ เพิ่งไปพบอดีตนายกฯ ที่หนีคดีทุจริตไปอยู่ต่างแดน
อยู่ในช่วงหาหัวหน้าพรรคคนใหม่
อยู่ในช่วงจัดวางตำแหน่งแห่งหนทางการเมือง ว่าใครจะรับใช้ทักษิณในตำแหน่งใด
ก่อนหน้านี้ ข่าวเพื่อไทยเลือดไหลออกถี่เหลือเกิน
แถม นปช.ก็ออกมาแฉ ว่าทั้ง สส.ทั้งแกนนำ เคยทอดทิ้งมวลชนอย่างไร
คุณเฉลิมก็ต้องสำแดงเดชให้เห็นเป็นธรรมดา
หากคุณเฉลิมไม่แสดงความมั่นใจแบบนี้ ใครจะมอบหมายให้เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งของพรรค หรือบทบาทสำคัญอื่นๆ ที่จะนำทัพสู้เลือกตั้งกันเล่า
ยิ่งไปกองปราบฯจะให้ไปจ๋อยๆ จ๋องๆ ได้อย่างไร จะต้องแสดงความมั่นใจในเชิง “ข้ากลับมามีอำนาจแน่”
อย่างน้อย ถ้าใครเชื่อ ก็อาจจะยังเหลือความเกรงใจอยู่บ้าง
2. คอการเมืองจะรู้จักคุณเฉลิมดี แกเก่งในการพูดแบบหาตัวจับยาก
เป็นนักการเมืองที่พูดจาฉาดฉาน มั่นใจในตอนพูด ลูกล่อลูกชน หาตัวจับยาก
แต่คุณูปการต่อบ้านเมืองในด้านอื่น ถูกวิจารณ์หนัก
เพื่อความรู้จัก เข้าถึง และเข้าใจมากยิ่งขึ้น ขออนุญาตถ่ายทอดบทความข้อมูลเชิงลึกนักการเมือง “เฉลิม อยู่บำรุง” จัดทำโดยนักวิจัยสถาบันพระปกเกล้า
ดร.บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์ เป็นผู้เรียบเรียง
รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต เป็นผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ ระบุว่า เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นดาวสภาที่มีฝีปากกล้า
ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง เกิดเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2490 โดยไม่ทราบวันเกิดแน่นอน เข้าโรงเรียนนายสิบทหารบก เหล่าสารวัตรทหาร สอบจบได้เป็นลำดับที่ 12 ในภายหลังเข้าศึกษาต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จนสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี โท และเอก
หลังจบการศึกษาจากโรงเรียนนายสิบทหารบก ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้เข้ารับราชการในกรมสารวัตรทหารบก ก่อนโอนย้ายเข้าเป็นตำรวจโดยใช้วิชายูโดเข้าเป็นผู้บังคับหมู่ในแผนก 5 กองกำกับการ 2 กองปราบปราม หรือหน่วยคอมมานโด ครองยศสิบตำรวจเอก ในเวลาต่อมาได้สอบเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร โดยติดยศร้อยตำรวจตรีในพ.ศ. 2516 ในกองบังคับการกองปราบปราม จนดำรงตำแหน่งสารวัตรแผนก 4 กองกำกับการ 2 กองปราบปราม ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญที่เรียกว่าสารวัตรประเทศไทย
…ช่วงเป็นสารวัตรแผนก 4 กองกำกับการ 2 เข้าร่วมยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ร่วมกับกลุ่มทหารหนุ่มในระหว่างวันที่ 1 – 3 เมษายน พ.ศ.2524 โดยนำกำลังตำรวจจำนวน 370 นาย เข้ายึดสถานที่สำคัญในกรุงเทพฯ เป้าหมายคือ กรมประชาสัมพันธ์ กองกษาปณ์ การไฟฟ้านครหลวง สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 และ ช่อง 3 แต่การยึดอำนาจไม่สำเร็จ ทำให้ถูกจับกุมในข้อหากบฏและถูกปลดออกจากราชการ แม้ภายหลังรัฐบาลจะออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรม แต่ร้อยตำรวจเอกเฉลิมไม่ได้กลับเข้ารับราชการและตัดสินใจเข้าสู่วงการเมือง
...ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมแทนตำแหน่งที่ว่าง (นายชัยทิพย์ น่วมอนงค์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เสียชีวิต) ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าได้ลำดับที่ 2 ด้วยคะแนน 29,276 แพ้กำนันปลิว ม่วงศิริ ผู้สมัครจากพรรคประชากรไทย คะแนนที่ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับจากการเลือกตั้งซ่อมทำให้นายพิชัย รัตตกุล หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้มาชวนให้เข้าพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ยุบสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2526 โดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2526 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ลงสมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์ และได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก ได้รับตำแหน่งทางการเมืองเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ร้อยตำรวจเอกเฉลิมเห็นว่าเส้นทางการเติบโตในพรรคประชาธิปัตย์มีน้อยมาก อันเนื่องจากวัฒนธรรมของพรรค ดังนั้น ร้อยตำรวจเอกเฉลิมจึงได้จดทะเบียนตั้งพรรคมวลชนในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2528 โดยในระยะแรกให้นายสมศักดิ์ ภาคีโพธิ์ เป็นหัวหน้าพรรค จนเมื่อพลเอกเปรมได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2529 และกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2529 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคมวลชนและได้ที่นั่งในสภาฯจำนวน 3 ที่นั่ง โดยเป็นพรรคฝ่ายค้าน
เมื่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ประกาศยุบสภาในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2531 อันเนื่องจากความขัดแย้งกันเองของพรรครัฐบาลและกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2531 ในการเลือกตั้งดังกล่าวพรรคมวลชนได้ที่นั่งในสภาฯจำนวน 5 ที่นั่ง และพรรคมวลชนได้เข้าร่วมรัฐบาล ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายให้ดูแลการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงบประมาณ และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท)
พ.ศ.2533 รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เริ่มเกิดปัญหากับกองทัพ เมื่อพลเอกชวลิตตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการทหารสูงสุด เข้ารับตำแหน่งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2533 แต่ในระหว่างอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีดังกล่าวได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทุจริตคอร์รัปชั่นในรัฐบาลอย่างรุนแรง
ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ออกมาวิจารณ์ “หลังบ้าน” พลเอกชวลิตว่าเป็นตู้เพชร ตู้ทองเคลื่อนที่
หลังจากนั้นไม่นาน พลเอกชวลิตก็ลาออกจากตำแหน่งในรัฐบาลพลเอกชาติชาย และก่อให้เกิดความขัดแย้งกับกองทัพมากยิ่งขึ้นพลเอกชาติชายให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมติดตามดูว่ามีหน่วยทหารหน่วยใดที่คิดปฏิวัติโดยร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ใช้รถโมบายยูนิตขององค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ไปดักฟัง
วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2533 กองบัญชาการทหารสูงสุดได้ออกแถลงการณ์ยึดรถโมบายยูนิต ซึ่งจอดอยู่บริเวณวัดไผ่เลี้ยง เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร เพราะต้องสงสัยทำให้ระบบสื่อสารของทหารถูกรบกวน เมื่อองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ได้ขอทวงรถคืน แต่ถูกปฏิเสธจากพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ร้อยตำรวจเอกเฉลิมจึงได้ให้สัมภาษณ์โจมตีพลเอกสุนทร เมื่อมีข่าวแพร่ออกไปว่าพรรคมวลชนทำหนังสือถึงสมาชิกให้เดินทางมาชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้กำลังใจร้อยตำรวจเอกเฉลิม พลเอกสุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารบกได้อาศัยอำนาจของผู้อำนวยการรักษาพระนคร ออกคำสั่งที่ 43/2533 ห้ามชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล
ท่ามกลางความขัดแย้งดังกล่าวมีความพยายามกดดันให้ปรับร้อยตำรวจเอกเฉลิมออกจากคณะรัฐมนตรี ในตอนแรกพลเอกชาติชายรับปากว่าจะให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมออกจากรัฐบาล แต่การปรับคณะรัฐมนตรีในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2533 พลเอกชาติชายตัดสินใจปรับร้อยตำรวจเอกเฉลิมไปเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผลการปรับคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ความขัดแย้งระหว่างกองทัพกับรัฐบาลยิ่งขยายตัวออกไป ทำให้พลเอกชาติชายตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2533 ในการจัดคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ พลเอกชาติชายได้ตัดพรรคมวลชนออกจากการร่วมรัฐบาล
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือรสช.นำโดยพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ได้ทำรัฐประหาร โดยอ้างเหตุผลในการยึดอำนาจ 5 ข้อ เช่น มีการทุจริตคอร์รัปชั่นของบรรดารัฐมนตรีร่วมรัฐบาลมีความพยายามทำลายสถาบันทหาร ทำให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมต้องลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศเดนมาร์ก
คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติได้ออกประกาศ ฉบับที่ 26 ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) โดยมีพลเอกสิทธิ จิรโรจน์ เป็นประธาน ผลจากการตรวจสอบของ คตส.ได้กล่าวหาว่าร้อยตำรวจเอกเฉลิมร่ำรวยผิดปกติ และถูกยึดทรัพย์จำนวน 32 ล้านบาท…
นี่เป็นเกร็ดข้อมูลบางส่วนในบทความของนักวิจัยสถาบันพระปกเกล้า ที่ใครหลายคนอาจจะเกิดไม่ทัน
3. ปัจจุบัน แม้พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ จากไปแล้ว
แต่อย่าลืมว่า พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ยังอยู่ และมีอนาคตในงานราชการบ้านเมือง เรืองรองมาก
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี