หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นทำการปฏิวัติจากรัฐบาลภายใต้ผู้นำ (หุ่น) หญิงโดยไม่เสียเลือดเนื้อ เพราะสถานการณ์บ้านเมือง ในขณะนั้นประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤติจนเกือบเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลว เพราะรัฐบาลไม่สามารถจะบริหารประเทศได้ นับแต่บัดนั้นจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 4 ปี ซึ่งเป็นเวลานานมากสำหรับรัฐบาลเผด็จการ ซึ่งบัดนี้หัวหน้าคณะปฏิวัติประกาศจะคืนอำนาจให้กับประชาชนโดยให้มีการเลือกตั้งภายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ ยังไม่ได้กำหนดการที่แน่นอน อย่างไรก็ดี คณะรักษาความสงบแห่งชาติยังสงวนที่จะให้อิสรภาพแก่นักการเมืองในการทำกิจกรรมทางการเมือง โดยจะออกมาตรการให้นักการเมืองทำกิจกรรมได้บางอย่าง ซึ่งได้ออกประกาศไปแล้วเท่านั้น อย่างไรสำหรับตัวพลเอกประยุทธ์เองในตอนแรกยังสงวนท่าทีในการที่จะทำงานการเมืองต่อไปอีกหรือไม่ แต่ต่อมาในทางปฏิบัติได้แสดงท่าทีเป็นนักการเมืองเต็มตัว ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าคงจะทำงานการเมืองต่อภายหลังการเลือกตั้ง แต่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเองหรือไม่ยังไม่มีคำตอบ อย่างไรก็ดี บรรดานักการเมืองเขี้ยวลากดินที่เคยถูกพลเอกประยุทธ์ เขี่ยกระเด็นเพราะอยู่ในกลุ่มนักกินเมืองกลับตั้งก๊วนภายใต้การนำของผู้มีตำแหน่งทางการเมืองคนสำคัญของรัฐบาลได้ทำการจัดหานักการเมืองน้ำเน่าเข้าร่วมก๊วนโดยวิธีการของศรีธนญชัยดำเนินการทางการเมืองหาสมัครพรรคพวกรวมตัวกันตั้งพรรคการเมือง เพื่อสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ เพื่ออาศัยบารมีของพลเอกประยุทธ์ กลับเข้ามาร่วมรัฐบาลอีก เพราะเชื่อแน่ว่า พลเอกประยุทธ์ ต้องกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีแน่ๆ เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีวุฒิสมาชิกหนุนอยู่ 250 คน และเมื่อรวมจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคต่างๆ ที่คาดว่าจะสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ ซึ่งคาดว่าจะมีอีกหลายพรรคจะทำให้พลเอกประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอน
จากการคาดคะเนดังกล่าวข้างต้น ถ้าพลเอกประยุทธ์จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่สถานการณ์ทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์ คงจะไม่ราบรื่นเหมือนที่ผ่านมาอย่างแน่นอน เพราะในอดีตพลเอกประยุทธ์ในฐานะองค์อธิปัตย์ มีอำนาจในการควบคุมทั้งอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติได้เด็ดขาด แต่ภายใต้บริบทใหม่ถึงแม้จะมีจำนวนผู้สนับสนุนในสภานิติบัญญัติจำนวนมากกว่าก็ตามแต่ อย่าลืมว่าอย่างน้อยก็มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนหนึ่งสามารถผ่านเข้าสภาผู้แทนราษฎรได้แม้เพียงไม่กี่คนก็ตาม แต่บุคคลเหล่านั้นสามารถอภิปรายในสภาฯ ได้อย่างอิสระ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ไม่เคยเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว จากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายรัฐบาลที่เคยเป็นรัฐบาลเผด็จการและต่อมาเป็นรัฐบาลภายใต้กติกาประชาธิปไตย เช่น จอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพลถนอม กิตติขจร และ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มีพลเอกเปรมท่านเดียวที่สามารถทนพฤติกรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มากที่สุด แต่ในที่สุดเมื่อเจอกับสมาชิกปากกล้าทำให้ทนไม่ได้ ฉะนั้น ถ้าพลเอกประยุทธ์ จะเป็นนายกรัฐมนตรีในยุคประชาธิปไตยฟันปลอมก็คงจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและมีขันติอย่างสูง จึงจะผ่านพ้นพฤติกรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งได้ จึงขอภาวนาว่า พลเอกประยุทธ์ จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดี เป็นที่พึ่งแก่ประชาชนเมื่อกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในบริบทใหม่และมีความอดทนเฉกเช่น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี