เมื่อวันที่ 24 ก.ย.2561 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงอนาคตทางการเมือง โดยที่ผู้สื่อข่าวยังไม่ได้ตั้งคำถาม
โดยพล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยท่าทีที่สุขุมและน้ำเสียงราบเรียบว่า...
“สำหรับสิ่งที่หลายๆ คนอยากจะให้ผมตอบในเรื่องงานการเมือง ผมก็ตอบได้ว่า ในขณะนี้ ผมสนใจงานการเมือง แต่การที่ผมจะตัดสินใจอย่างไร จะสนับสนุนใคร มันเป็นเรื่องอีกระยะหนึ่ง ซึ่งผมจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
แต่วันนี้ผมสนใจการเมือง เพราะผมสนใจในสิ่งที่ผมทำลงไป ว่า ไปถึงไหนอย่างไร วันข้างหน้าจะได้รับการสืบสานต่อไปหรือไม่ ผมจะติดตามรับฟังจากบรรดากลุ่มการเมือง พรรคการเมือง นักการเมืองต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เพราะฉะนั้น ผมขอใช้คำแรกนี้ได้ว่า ผมสนใจงานการเมือง เพราะผมรักประเทศชาติของผม ก็คงเป็นเช่นเดียวกับคนไทยทั้งประเทศ รวมทั้งสื่อมวลชนด้วยก็ต้องรักประเทศไทยของเรา ก็สุดแล้วแต่ประชาชนจะว่าอย่างไรในอนาคต ขอบคุณครับ สวัสดีครับ”
เป็นการให้ความเห็น ที่กำลังพอเหมาะพอดี ทั้งท่าที น้ำเสียง ถ้อยคำ แทนการอมพะนำ เล่นลิ้น หรือทำเป็นโมโหโกรธาอย่างที่ผ่านๆ มา
พ้นจากคำให้สัมภาษณ์นี้ ก็มาเห็นการ์ตูนของ “แนวหน้า” ฉบับวันที่ 25 กันยายน 2561 ที่เป็นภาพ “สารพัดสัตว์” ในสระ ออกปากชวน “ลุงตู่” ในห่วงยางเป็ดน้อย ให้กระโจนลงมา พร้อมคำพูดว่า “กล้าๆ หน่อย สนใจงานการเมือง ก็ลงมาเล่นด้วยกันเลยสิครับ”
1) ต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์คือความชัดเจนหรือไม่ชัดเจนของการเมืองไทยในเวลานี้ เพราะท่าน “กุมอำนาจ” และ “กำหนดการ” หลายอย่างไว้ในมือ เช่น จะส่งเสริมบรรยากาศประชาธิปไตยที่จะนำไปสู่การเลือกตั้ง ด้วยการคลายล็อก ปลดล็อก ให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้แค่ไหน อย่างไร จะให้พรรคการเมืองใด ใส่ชื่อท่านไว้ในบัญชี ผู้ที่พรรคนั้นๆ จะเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรีไหม จะพูดจาให้สง่างามและชัดเจนเสียหรือไม่ ว่าคนในรัฐบาลของท่าน ไปเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งพรรคการเมืองใดหรือเปล่า รวมถึงกลุ่มสามมิตรที่เดินสายราวกับรถดูดส้วมที่คนเขาแซวกันอยู่ในเวลานี้ด้วย
2) พล.อ.ประยุทธ์มีสิทธิโดยชอบที่จะสนใจการเมือง เหมือนกับพลเมืองไทยทั่วไป ไม่มีอะไรไปตัดสิทธิท่านได้ แม้คนกลุ่มหนึ่ง พยายามจะ “ตีปลาหน้าไซ” ดักทางไม่ให้ท่านลงสนามการเมือง ผ่านวาทกรรมในคำว่า “สืบทอดอำนาจ” ก็ตามที เพียงแต่ท่านลงสมัคร สส.ไม่ได้ เพราะไม่ได้ลาออกจากตำแหน่งตามระยะเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนด
3) ท่านสนใจการเมืองหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับว่า ท่านจะเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับใด ตรงนี้ต้องพูดให้ชัดเจน เพราะการเข้าสู่การเมืองของท่าน ในต่างวิธี ก็ให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันไป
4) หากท่านให้พรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใด ใส่ชื่อของท่านอยู่ในบัญชี ผู้ที่พรรคนั้นๆ จะเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เป็น “ความสง่างาม” และ “ความเท่าเทียม” กับคนอื่นๆ ที่ลงมาเล่นในเกมเดียวกันเสียตั้งแต่ต้น ไม่ใช่แค่รอเปลี่ยนตัวลงมา “ยิงจุดโทษ” ในตอนจบ
5) หากมีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในบัญชีของพรรคหนึ่งพรรคใด คนก็จะได้รู้ ว่าถ้าจะสนับสนุนท่าน ควรเทคะแนนให้แก่พรรคไหน ผ่านใคร และถ้าไม่หนุนท่าน ควรไปเทคะแนนให้พรรคไหน ผ่านผู้สมัครคนไหน ในเขตการเลือกตั้งของเขา เพราะระบบการนับคะแนน มันนับจากบัตรเลือกตั้งที่เลือกคนพ่วงไปกับพรรค กล่าวคือ ไม่มีบัตรเลือกพรรคโดยตรง แต่ต้องเลือกจากผู้สมัครในแต่ละเขต หากเขาแพ้แบบเขต ก็เอาคะแนนไปรวมเพื่อคำนวณการตัดสัดส่วน สส.บัญชีรายชื่อออกมา
6) วิธีการดังกล่าวจะทำให้เมื่อเปิดประชุมสภา ด้วยองค์ประกอบ สส.และ สว. ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดแล้ว จะได้เสนอชื่อท่าน เพื่อให้สมาชิกทั้งสองสภาโหวตร่วมกัน แข่งขันกับรายชื่ออื่น ที่มาจากการเลือกตั้งได้เลย ซึ่งในตอนนั้น สว. ที่ไม่ว่าจะผ่านพิธีกรรมอันใดมา แต่ท้ายที่สุดก็มาจบตรงที่ คสช. เป็นคนเลือกในขั้นตอนสุดท้าย จะรีบโหวตให้ท่านเป็นนายกฯเสีย ก็ทำได้ ไม่น่าเกลียด เพราะถือว่าได้แข่งขันกันอย่างเสรีและเป็นธรรม เพียงแต่มีเงื่อนไขเล็กๆ ว่าสส.ที่สนับสนุน จะต้องมากพอให้ท่านเป็นนายกฯ ของรัฐบาล ที่สามารถทำงานได้ โดยไม่มี สว. คอยช่วยอยู่ร่ำไป ซึ่งในทางปฏิบัติ สว.ไม่อาจช่วยได้ในทุกกรณี แค่บางกรณีเท่านั้นที่ช่วยได้
7) ที่กังวลกันอยู่ตอนนี้ และมองไปในทางร้ายก็คือ อยู่ๆ สว.ก็หักหาญน้ำใจ ไม่โหวตเลือกใครที่ สส. เขาเสนอ รอจนเป็นประเด็นให้ต้องเสนอ “คนนอกบัญชี” แล้วไปโหวตกันตอนนั้น เชื่อว่า “มีปัญหา” แน่ๆ และการมีปัญหาในยุคที่ประชาชนมี “ตัวแทน” อยู่ในสภา มีเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็นมากกว่าเวลานี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องดี เพราะมีโอกาสที่บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จึงเรียกร้องมาโดยตลอดว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องแสดงความชัดเจน ว่าท่านจะอยู่ตรงไหน คือ อยู่ในบัญชี หรืออยู่นอกบัญชี หากอยู่นอกบัญชี ต้องไม่อาศัย สว. ปิดกั้น จนต้องไปโหวตกันด้วยรายชื่อคนนอก ต้องเคารพเสียงของประชาชน ให้คนที่อยู่ในบัญชี ให้คนที่ประชาชนเลือกมา เขาได้โหวตในสภากันอย่างสง่างามเสียก่อน
8) จึงเป็นเรื่องดีแล้ว ที่พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าสนใจ และไม่ควรรอช้าที่จะทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าสนใจระดับไหน เพราะมันมีผลต่อการ “ให้ความเป็นธรรม” ต่อพรรคอื่นๆ เช่น หากท่านสนใจ และจะให้พรรคพลังประชารัฐ ที่ “ต้องสงสัย” ว่าเป็นพรรคที่คนในรัฐบาลมีส่วนสนับสนุน หรือพรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคของนายไพบูลย์ นิติตะวัน หรือพรรคอื่นๆ ที่ประกาศหนุนท่านเป็นนายกฯ ได้เอาชื่อของท่านไปใส่ในบัญชีเสียให้เป็นกิจจะลักษณะ คนก็จะได้จับตาต่อไปว่า พรคเหล่านั้นได้สิทธิพิเศษในการหาเสียง ทั้งทางตรงและอ้อม ได้อำนาจรัฐหนุน ได้งบประมาณแฝง ไปช่วยจนได้เปรียบพรรคอื่นหรือเปล่า คนเขาก็จะได้ดู “ความสง่างาม” หรือ “ความขี้โกง-ขี้เอาเปรียบ” ตรงนี้ได้อีกเปลาะหนึ่ง
9) ยังไม่รวมถึงบทบาทการเป็นนายกฯ ที่ไม่ต้องรักษาการ ที่หว่านโปรยงบประมาณ และเดินสายลงพื้นที่มากกว่าปกติอยู่ในเวลานี้ ซึ่งก็ถูกตีความว่า เป็นการ “หว่านพืชหวังผล” ไว้ล่วงหน้าด้วย ต้องระมัดระวัง
10) พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องอ่านให้ขาด และด้วยความรักชาติอย่างปากว่า ต้องไม่เอาตัวเองไปสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งใหม่ให้เกิดขึ้น และมีผลพวงตามมา ทำทุกอย่างเสียให้ชัด ให้ถูก ทุกกระบวนไป ประเทศไทยหลังเลือกตั้ง ก็จะลด “เงื่อนไข” ที่อาจนำไปสู่ความวุ่นวายของฝ่ายต้าน “ทหาร” และ คสช. ว่าจะสืบทอดอำนาจได้ดียิ่งขึ้น
11) มาถึงการ์ตูนแนวหน้า แน่นอน ความหมายตื้นๆ คือการสะท้อนว่า มีฝ่ายการเมืองท้า พล.อ.ประยุทธ์ให้ “ลงสระ” หรือ “ลงสนามเดียวกัน” ให้มันรู้แล้วรู้แรด! เอ๊ย!! รอด เพียงแต่คนเป็นสื่อมวลชนต้องไม่อคติว่า การเรียกร้องนั้น เป็นเสียงเรียกของเหี้ยห่าสารพัดสัตว์ตามภาพ
12) ผมอยากเห็นคนเป็น “สื่อมวลชน” เป็นคนกลาง ที่เรียกร้องให้ทุกคนแข่งในสนามเดียวกัน ในกติกาเดียวกัน และหยุดการสร้างภาพเหมารวมว่า “นักการเมือง = เหี้ยห่าสารพัดสัตว์” เพราะไม่เช่นนั้น พล.อ.ประยุทธ์ อาจถูกตีตราว่าเป็นตัวหนึ่งตัวใดในจำนวนที่ว่า เพียงเพราะท่านมา “ทำงานการเมือง”
13) มีคนระยำในทุกสาขาอาชีพ แต่เราต้องเน้นการสร้างคนดีขึ้นมาแทนที่คนชั่ว ตราบเท่าที่รัฐธรรมนูญยังกำหนดให้ทำงานผ่านระบบ “รัฐสภา” บ้านเมืองต้องมีนักการเมือง สื่ออย่าไปทำให้ผู้คนสิ้นหวัง ลืมหน้าที่ เกิดอคติ ว่ามันเลวหมด เช่นนั้นทำไมไม่เขียนรัฐธรรมนูญไม่ให้มีนักการเมืองไปเสียเลยล่ะ เมื่อยังต้องมี ต้องกระตุ้นให้คนสนับสนุนพรรคการเมืองและนักการเมืองที่ดี ด้วยการ “แยกแยะ” หยุดวิธีคิดติดลบ เหมาเข่งเสีย ไม่งั้นคนจะติดนิสัย เห็นพระชั่วรูปหนึ่ง ด่ามันหมดทั้งวงการสงฆ์ เห็นสื่อเลวๆ ด่ากราดไปเสียทุกช่อง ทุกคลื่น ทุกฉบับ ทุกสำนัก อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น คนเป็นสื่อเองก็ต้องไม่ชวนคนมาด่ากราด แต่ต้องทำให้เขารู้ว่า หน้าที่ของเขาคือ “คืนฝูงเหี้ยสู่ป่า” ด้วยการ “ไม่เลือก” และเลือกคนที่พิจารณาแล้วว่า “เป็นตัวแทนที่ดี” ได้
14) ประชาชนต้องมีตัวแทนเข้าไปในรัฐสภา ไปตรวจสอบแทน ไปพิจารณากฎหมายหรือยับยั้งกฎหมายที่มีโทษภัยแทนตน ไปพิจารณางบประมาณแผ่นดินแทนตน ไปจัดสรรทรัพยากรทั้งหลายแทนตน ประชาชนกับตัวแทนจึงเป็นหนึ่งเดียวกัน อย่าทำให้ “ตัวแทน” เลวหมด เหมือนกันหมด เพราะในความเป็นจริงก็ไม่เหมือนกัน
ในช่วงรอยต่อสู่การเลือกตั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องแสดงตนให้ชัด และสื่อต้องเป็นผู้นำทางปัญญาในการนำคนไปสู่การ แยกแยะ” และเห็นความสำคัญของการ “เลือกสรรตัวแทน” ที่มีประสิทธิภาพ คือมีความรู้ที่ดี มีสำนึกที่ดี มีศีลธรรมที่ดี
จะได้เป็นสระน้ำของฝูงสัตว์ดังที่ปรากฏในการ์ตูน!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี