เด็กอายุ 6-7 ขวบ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเด็กเก่งต้องมีคุณสมบัติ และลักษณะอย่างไร
การวัดว่าเด็กคนไหนเป็นคนเก่ง หมายความว่าเด็กต้องสอบเข้าเรียนที่ไหน แล้วต้องสอบได้ กระนั้นหรือ
อยากจะเชิญชวนให้คนไทยลองกลับไปทบทวนเรื่องการสอบเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หรือ ป. 1 ของเด็กๆ ว่าเป็นเรื่องเหมาะสมและจำเป็นกับวัยของเด็ก ซึ่งมีอายุเพียง 6-7 ขวบหรือไม่
การสอบเข้าเรียนชั้น ป. 1 ถือเป็นการทรมานเด็กเล็กๆ มากเกินความจำเป็น หรือไม่ เป็นการปิดกั้นพัฒนาการที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก ใช่หรือไม่
คำถามสำคัญคือ ทำไมจึงต้องบังคับให้เด็กสอบเข้าเรียนชั้น ป. 1 ทำไมจึงไม่ให้โอกาสกับเด็กทุกคนสามารถเข้าเรียนชั้น ป. 1 โดยอัตโนมัติ
คำถามต่อมาคือ ข้อสอบเข้าเรียนชั้น ป. 1สามารถวัดความรู้ทางวิชาการกับเด็กได้จริงหรือ และอะไรคือความรู้ทางวิชาการที่เด็กจำเป็นจะต้องมีก่อนจะเข้าเรียนชั้น ป. 1
นักวิชาการด้านการศึกษาของเด็กช่วงปฐมวัยให้ความเห็นตรงกันว่า การสอบเข้าเรียน ป. 1 ไม่สามารถใช้ประเมินความรู้ด้านวิชาการของเด็กได้ครอบคลุมทุกด้าน และที่สำคัญคือ การสอบเข้าเรียนชั้น ป. 1 ไม่สอดคล้องกับหลักการด้านการศึกษาของเด็กในช่วงปฐมวัย แต่การสอบกลับก่อให้เกิดผลเสียกับเด็กมากกว่า เพราะสร้างแรงกดดันต่อเด็ก ทำให้เด็กเกิดความเครียด ซึ่งไม่ได้ทำให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสมตามวัย
แน่นอนว่า มีกลุ่มผู้เห็นด้วยกับการสอบเข้าเรียน ป. 1 โดยให้เหตุผลว่า การสอบทำให้โรงเรียนที่รับเด็กเข้าไปเรียนต่อในชั้น ป. 1 จะสามารถจัดแบ่งกลุ่มเด็กที่มีความสามารถใกล้เคียงกันเอาไว้ในกลุ่มหรือในห้องเรียนเดียวกัน และอ้างเหตุผลเพิ่มเติมว่า การสอบคือการฝึกทักษะด้านวิชาการของเด็ก ขณะเดียวกันก็อ้างด้วยว่า การสอบคือการให้โอกาสกับเด็กทุกคน และยังช่วยพิสูจน์ให้สังคมเห็นถึงความโปร่งใสในการคัดเลือกเพื่อรับเด็กเข้าศึกษาต่อในโรงเรียน
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนบทความนี้ ขอแจ้งให้ผู้อ่านทราบว่า โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับการสอบด้วยข้อสอบเชิงวิชาการเพื่อคัดเลือกผู้เข้าเรียนชั้น ป. 1 ในทุกกรณี สาเหตุที่ไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่าการสอบเข้าเรียนต่อชั้น ป. 1 ไม่สามารถวัดความรู้เชิงวิชาการจากเด็กได้ แต่กลับทำให้เด็กขาดโอกาสในการพัฒนาร่างกาย สติปัญญา จิตใจ และอารมณ์
ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับการที่โรงเรียนเตรียมอนุบาลบางแห่งพยายามกดดันให้เด็กต้องท่อง A B C ถึง Z ท่องพยัญชนะไทย ก-ฮ แล้วยังกดดันให้เด็กต้องท่องตัวเลขให้ได้ถึง 50 แต่บางแห่งพยายามกดดันให้เด็กท่องเลขให้ได้ถึง 100
ขอถามว่า เด็กอายุ 3-6 ขวบ มีความจำเป็นอะไรกับการท่อง A-Z ท่อง ก-ฮ และท่องตัวเลขให้ได้ถึง 100 จะเร่งรัดเด็กไปเพื่ออะไร เพื่อเอาไว้คุยทับกันว่าโรงเรียนของฉันสอนเด็กให้เป็นคนเก่ง เท่านั้นหรือ แล้วแน่ใจหรือว่าเด็กที่ท่องสิ่งดังกล่าวได้ คือเด็กที่มีความสามารถทางวิชาการโดยแท้จริง ถ้าหากโรงเรียนไหนเชื่อเช่นนั้นก็น่าจะเปิดเป็นโรงเรียนสอนนกแก้ว
นกขุนทอง จะดีกว่าสอนเด็กเล็กๆ
โรงเรียนเตรียมอนุบาลบางแห่งไม่ให้เด็กนอนกลางวัน เพราะต้องการบังคับให้เด็กท่องในสิ่งที่ไร้ความจำเป็นดังกล่าวข้างต้น ซึ่งการที่ไม่ให้เด็กนอนกลางวัน ถือเป็นการสร้างผลเสียกับพัฒนาการของเด็กอย่างมากที่สุด แล้วยังทำให้เด็กเกิดอาการเครียดตลอดเวลา ทำให้เด็กไม่มีความสุขตามวัยของเขา
เด็กในช่วงปฐมวัยจำเป็นต้องมีการเรียนรู้ในด้านต่างๆ เช่น การรู้จักเพื่อนใหม่ๆ รู้จักสิ่งแวดล้อม รู้จักรักษาสุขอนามัยของตนเองและสิ่งรอบๆ ตัว ต้องเล่นสนุกร่าเริง เพื่อให้เกิดพัฒนาการต่อสติปัญญา และการเรียนรู้ ขอย้ำว่า เด็กในวัยนี้ไม่สมควรถูกบีบบังคับให้ต้องทำในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์โดยแท้จริงกับตัวของเขา การบีบบังคับให้เด็กต้องท่องจำในสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ คือการปิดกั้นพัฒนาการทางสมองของเด็ก
ผลเสียอีกข้อหนึ่งที่ตามมาของการสอบเข้าเรียนชั้น ป. 1 คือ เมื่อเด็กสอบไม่ได้ เด็กก็จะรู้สึกเสียใจ เหตุผลที่เสียใจ เพราะเด็กรู้ตัวว่าทำให้ผู้ปกครองไม่ประสบผลสำเร็จ โดยเฉพาะเมื่อเด็กรู้ว่าทำให้ผู้ปกครองต้องผิดหวัง ซึ่งนี่คือการทำลายความมั่นใจในตัวของเด็กไปโดยปริยาย
ในอีกมุมหนึ่งการสอบเข้าเรียนชั้น ป. 1 ยังทำให้เกิดผลกระทบด้านลบระหว่างตัวของเด็กกับผู้ปกครอง โดยเฉพาะประเด็นการใช้เวลาร่วมกันของเด็กกับผู้ปกครองจะหายไป เพราะเด็กถูกส่งไปเรียนพิเศษหรือกวดวิชาตลอดเวลา เพื่อให้เด็กสอบเข้าเรียนให้ได้ นอกจากเวลาระหว่างเด็กกับผู้ปกครองจะหายไปแล้ว ยังทำให้ครอบครัวต้องเสียค่าใช้จ่ายโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย เพราะเท่าที่ปรากฏคือ โรงเรียนกวดวิชาบางแห่งเก็บเงินจากผู้ปกครองเป็นหลักแสนบาทต่อหลักสูตร
ส่วนผลกระทบที่ตามไปถึงโรงเรียนอนุบาลคือ โรงเรียนต้องเพิ่มหลักสูตรที่เกินความจำเป็นต่อเด็กเข้าไป เพราะโรงเรียนอนุบาลอ้างว่าต้องเตรียมความรู้เพื่อให้เด็กสอบเข้าเรียนต่อชั้น ป. 1 ได้ บางโรงเรียนเน้นการสอนให้เด็กทำเลข ท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ และสนทนาภาษาอังกฤษ จนทำให้เวลาเล่นสนุกและทำกิจกรรมที่เหมาะสมตามวัยของเด็กหายไป ที่น่าสมเพชคือ ผู้ปกครองบางรายแสดงความไม่พอใจ หากโรงเรียนไม่สามารถสอนให้ลูกของตนท่อง ก-ฮA-Z บวกลบเลข และเขียนหนังสือเป็นประโยคได้ ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ รวมถึงภาษาจีน
อย่างไรก็ตาม พบว่ามีอาการอย่างหนึ่งในกลุ่มเด็กซึ่งถูกบังคับให้ต้องเรียนในสิ่งเหล่านี้ในชั้นอนุบาลคือเมื่อเด็กเข้าเรียนในชั้น ป. 1 และชั้นที่สูงขึ้นไปคือเด็กบางคนจะต่อต้านการเรียนรู้
หรือบางคนไม่สามารถประยุกต์ใช้ความรู้กับชีวิตประจำวันได้
มีคำถามว่า ถ้าหากไม่มีการสอบวัดผลทางวิชาการแล้ว จะใช้เกณฑ์อะไรในการรับเด็กเข้าเรียนต่อชั้น ป. 1
คำตอบคือ เด็กทุกคนต้องมีที่เรียนในระดับชั้น ป. 1 โดยไม่จำเป็นต้องสอบ เพราะเป็นหน้าที่ของสังคมอยู่แล้วที่ต้องมีสถานที่เรียนให้กับเด็กทุกคน ไม่ว่าเด็กเหล่านั้นจะมาจากครอบครัวยากดีมีจน หรือรวยล้นฟ้าล้นแผ่นดิน หรือพ่อแม่เป็นคนใหญ่โตคับประเทศ
วิธีการหนึ่งที่โรงเรียนอาจจะใช้คัดเลือกเด็กก็คือ การพูดคุยกับเด็ก การให้เด็กทำกิจกรรมตามวัยของเด็ก การสัมภาษณ์ผู้ปกครอง และการดูความต้องการ และสมรรถภาพของเด็ก แต่อย่างไรก็ตาม แม้เด็กจะไม่ได้รับการคัดเลือกเข้าเรียนในโรงเรียนที่ผู้ปกครองต้องการ แต่สังคมไทยก็ต้องมีที่เรียนให้กับเด็กให้ครบถ้วนทุกคน และถึงแม้ผู้ปกครองจะไม่มีเงินทองสำหรับส่งเสียให้ลูกได้เล่าเรียน สังคมไทยก็ยังจำเป็นต้องมีที่เรียนให้กับเด็กทุกคน โดยไม่มีข้อยกเว้น ยกเว้นเฉพาะกรณีที่ผู้ปกครองต้องการจะดันลูกหลานของตัวเองเข้าไปอยู่ในโรงเรียนที่ดังชนิดดีเด่นดังระดับประเทศ แต่ไม่มีความสามารถในด้านเงินทองเพื่อจ่ายให้กับสถานศึกษานั้นๆ ก็ต้องนำลูกหลานไปเรียนในสถานศึกษาที่เหมาะสมกับเด็ก แต่มีเงื่อนไขว่าสถานศึกษาทุกแห่งของประเทศไทยจะต้องมีมาตรฐานทางด้านวิชาการเท่าเทียมกัน (ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องฝันกลางวันของสังคมไทย และเป็นฝันกลางวันที่เกิดมาหลายสิบปีแล้ว)
ขอยืนยันว่าเด็กช่วงปฐมวัยมีสิ่งสำคัญที่ต้องเรียนรู้อีกมากมาย และสังคมไทยต้องไม่บังคับให้เด็กในวัยนี้ต้องเสียสติอยู่กับการท่องจำในเรื่องที่เปล่าประโยชน์ เด็กวัยนี้ไม่ควรถูกบังคับให้ต้องไปกวดวิชาแบบบ้าคลั่ง เด็กวัยนี้ต้องได้รับการเรียนรู้โดยผ่านการทำกิจกรรมที่เขาสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตของเขาเมื่อถึงวันที่เขาเติบโตขึ้น เด็กต้องได้รับการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่สามารถสร้างบูรณาการให้กับชีวิตได้โดยแท้จริง เมื่อเด็กมีพัฒนาที่สมกับวัยของเขา ครั้นเมื่อเขาเติบโตเขาก็จะไม่ยุติการเรียนรู้ และไม่หยุดยั้งการแสวงหาความรู้ต่อไป เด็กที่มีพัฒนาการสมวัยจะมีความสุข จะยินดีกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อ และจะมีความสุขในชีวิตโดยแท้จริง และมีความสามารถในการคิดค้นสิ่งต่างๆ มีความมั่นใจในตัวเอง เคารพตัวเอง และเคารพผู้อื่น กล้าคิด กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง สามารถควบคุมตัวเองได้อย่างเหมาะสมกับสภาวการณ์ และสถานการณ์ต่างๆ และที่สำคัญคือ เขาจะสามารถนำพาชีวิตไปสู่ความสุขและความสำเร็จได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี