เจอ “แผ่นดินไหว” กันไปทุกพรรค เมื่อการเลือกตั้งกำลังจะมาถึง พร้อมกติกาใหม่ๆ และลูกเล่นใหม่ๆ ของ “ผู้มีอำนาจ”
ยังไม่ปลดล็อค แบ่งเขตเลือกตั้งยังเปลี่ยนแปลงได้ เลือกตั้งจริงๆ วันไหนก็ยังไม่รู้ มีพรรคเล็กๆ จะขอให้เลื่อนเลือกตั้ง ฯลฯ
แค่นั้นก็ว่ายุ่งว่ายากพอแล้ว ยากกว่านั้นคือ เมื่อความเสี่ยงของ สส.ระบบบัญชีรายชื่อ มีสูง บิ๊กเนมหลายก็กระก็โดดลงไปแข่งขันระบบเขต พอเขตทำท่าจะซ้ำซ้อนกันก็ต้อง “หนี” ไปอยู่พรรคใหม่ บางพรรคกลัวแพ้ ก็แตกแบงค์ร้อยเป็นแบงค์พันบางพรรค ระดับ สก. สข. ก็พร้อมแล้วที่จะท้าชิงพื้นที่ พรรคเดิมยังไม่มีโอกาสให้ลงสมัคร ก็ย้ายพรรคเสียเลย ต่อให้สอบไม่ผ่าน ก็แบ่งคะแนนจากพื้นที่นั้น มาใส่ให้บัญชีรายชื่อของพรรคได้ อย่างไรเสีย ก็มีความดีความชอบ
ที่หนักหนาอีกอย่าง คือ แนวทางหรืออุดมการณ์ในการขับเคลื่อนพรรค ที่เล่นเอาบางพรรค ทำท่าจะแตกหรือไม่แตกอยู่รอมร่อ
พรรคเพื่อไทย ตัดความกังวลเรื่องถูกยุบหรือไม่ยุบพรรคไปโดยให้วิโรจน์ เปาอินทร์ เป็นหัวหน้าพรรค ดันคุณหญิงสุดารัตน์เกยุราพันธ์ ซึ่งคงเป้นหัวหน้าโดยพฤตินัย ไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์ จู่ๆ ก็เกิดพรรค “ไทยรักษาชาติ” ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ หลานลุงแม้ว-น้าปู ที่ก่อนหน้านี้มีบทบาทสำคัญ ย้ายมาอยู่พรรคใหม่ ตามมาด้วยรุ่นเล็กรุ่นใหญ่อีกเป็นจำนวนมาก หลายที่ย้าย ถอดรหัสได้ง่ายแสนง่ายว่า “ไม่เอาสุดารัตน์”
ต่อให้สุดท้ายต้องไปจับมือกันตั้งรัฐบาล หรือต้องทำงานเป็นทีมฝ่ายค้านด้วยกันก็เถอะ แต่ขอไม่ “ขึ้นตรง” กับคุณหญิงของคุณหญิงจะได้ไหม
พรรคเดิมของท่านหลงจู๊ ผู้ล่วงลับ เปิดตัวด้วยลูกชาย สุดท้ายกลายเป็นลูกสาวกับผู้มีอาวุโสรุ่นพ่อหนุนหลัง ขึ้นมานั่งเก้าอี้หัวหน้า เพื่อรักษา “แนวทางเดิม” ยังไม่พร้อมจะไปในแนวทางใหม่ที่ลูกชายแถลงแล้วแถลงเล่า ทำให้คนรุ่นใหม่ที่อยากเห็นพรรคเป็นแนวใหม่ ตัดสินใจย้ายพรรค
พรรคอนาคตใหม่ เหตุด้วยเรื่อง “เฌอปราง” หรือ “แคปเฌอ”เล่นเอาพรรคสั่นไหว เนื่องจากแสดงบทนักประชาธิปไตย แต่โจมตีนักร้องคนหนึ่งซึ่งไปร่วมงานกับรัฐบาลปัจจุบัน ราวกับว่า เฌอปรางลากรถถังมายึดอำนาจเสียเอง การด่ากราด ด่าเกิน ด่าไม่รู้จักแยกแยะ และท่าทีของหัวหน้าพรรค ทำให้ “ผิดใจ” กับหลายคน และบางคน เลือกจะเดินออกจากพรค ไม่ร่วมงานด้วย ผิดหวัง พอแล้วเฮ้อ!! แต่พรคที่ยกตัวอย่างมานั้น ดีที่คนเขาตัดสินใจแบบ อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็จาก แต่พรรค “แม่พระธรณีบีบมวยผม”นี่สิ ซับซ้อนและยุ่งยาก ตรงที่มันไม่ยอมไปไหน (ฮา...)
เลือกหัวหน้าพรรคแล้ว ได้หัวหน้าพรรคจากเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกพรรคแล้ว ได้กรรมการบริหารพรรคจากที่ประชุมใหญ่ของพรรคแล้ว ก็ยังมีเรื่องระหองระแหงวุ่นวายภายในไม่รู้จบ ระหว่างทีมมาร์ค-ทีมหมอ เสมือนรอยึดพรครอบสุดท้ายให้ได้ ในระยะอันใกล้นี้ หรือหากยึดไม่ได้ ก็อย่าได้อยู่กันอย่างมีความสุขเลย อะไรทำนองนั้น
แต่อยากจะพูดถึง “เรื่องดีๆ” ที่เกิดขึ้นในพรรคแม่พระธรณีนี้กันก่อน
เว็บไซต์ The Matter โดย Thanyawat Ippoodom สรุปไว้ได้ดีที่สุด ในบรรดาสื่อทั้งหมดที่รายงานเรื่องนี้ว่า
“...คนรุ่นใหม่ 20 คน มาพร้อม 21 นโยบาย ทยอยเดินขึ้นเวที อธิบายจุดยืน ความฝัน ความหวังที่ตัวเองมีต่ออนาคตของประเทศไทย ขณะที่ผู้ใหญ่อายุรุ่นพ่อ รุ่นลุง ผู้กุมอำนาจการตัดสินใจ
เปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้นั่งรับฟัง
นี่คือภาพที่เกิดขึ้นในวันที่พรรคประชาธิปัตย์เปิดตัวกลุ่มคนรุ่นใหม่ชื่อ ‘New Dem’ ภายใต้สโลแกน ‘ก้าวนอกกรอบ’
กิมมิกเล็กๆ ที่เกิดขึ้นภายในงาน คือสมาชิกทั้ง 20 คน จะถูกปิดบังนามสกุลของตัวเอง เพื่อแสดงออกว่า ไม่ว่าใครก็จะต้องมีเสียงพูดที่เท่าเทียมกัน และพวกเขาไม่ได้มาเพื่อสืบทอดอำนาจในพรรคต่อจากใคร
ถึงอย่างนั้น คำถามที่เกิดขึ้นตลอดการแถลงข่าว คือคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้มีแตกต่างไปจากกลุ่มอื่นๆ ของพรรคคู่แข่งอย่างไร และอะไร “กรอบ” ที่พวกเขาต้องการจะก้าวออกมา?
“ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ หลานชายของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูเหมือนจะเป็นไฮไลต์สำคัญที่สื่อมวลชนจับจ้อง อาจด้วยเหตุผลที่ไอติมเคยออกมาเสนอจุดยืนทางการเมืองและสังคมในช่วงก่อนหน้านี้หลายครั้ง และปฏิเสธไม่ได้ว่า เขามักถูกมองในฐานะ “หลาน” ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ไอติมเสนอนโยบาย “ยกเลิกเกณฑ์ทหารทำได้จริง ทหารสมัครใจ ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่นใจ” เขายกตัวอย่างถึงเพื่อนพลทหารคนหนึ่งที่ต้องประสบปัญหารายได้ไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัว จึงเห็นว่ากองทัพควรยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และเปลี่ยนไปสู่ระบบที่รับสมัครตามความสมัครใจแบบ 100 เปอร์เซ็นต์
นพ.คณวัฒน์ จันทรลาวัลย์ หรือ “หมอเอ้ก” มาพร้อมกับนโยบาย เปิดการค้ากัญชาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ให้โอกาสประชาชนได้สกัดกัญชาออกมาได้ด้วยตัวเองโดยมีภาครัฐเป็น
ผู้ควบคุมมาตรฐานและความปลอดภัย
“ผมไม่อยากให้มองว่ากัญชาเป็นสารเสพติด แต่อยากให้มองว่ากัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ เนื่องจากการวิจัยล่าสุด คาดการณ์ว่าในอีก 7 ปี ตลาดการค้ากัญชาระดับโลกจะมีมูลค่าถึง เกือบ 1.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ตรงนี้ คือ โอกาส” หมอ เอ้ก อธิบาย
ไฮไลต์อีกคนที่มาแรงตั้งแต่วันแรกๆ ที่เปิดตัวทำงานกับพรรคในรอบนี้ คือ “ปลื้ม” สุรบถ หลีกภัย เขามากับไอเดียผลักดัน eSport และอาชีพแคสเตอร์ให้เป็นอาชีพที่สร้างรายได้และโอกาสใหม่ๆ ของเศรษฐกิจไทย ตามกระแสที่คนรุ่นใหม่กำลังให้ความสนใจต่ออาชีพด้านนี้กันอย่างต่อเนื่อง
นอกจาก 3 คนนี้ ยังมีคนรุ่นใหม่ประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นมาเสนอนโยบายอีกมากมาย เช่น E-learning เพื่อทำให้ทุกคนได้เข้าถึงระบบการศึกษาและยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน, เพิ่มหลักสูตรว่าด้วยกฎหมายเข้าไปในการเรียนระดับมัธยมศึกษา, สนับสนุนการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน และยกเลิกคำนำหน้าชื่อ, กำจัดขยะพลาสติก เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน, ปรับระบบโครงสร้างพื้นฐาน เพื่ออำนวยความสะดวกคนพิการ, ส่งเสริมคราฟต์เบียร์ รวมถึงเหล้าพื้นบ้านเพื่อสร้างรายได้และอาชีพ,Application เรียกรถถูกกฎหมายเพื่อการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม, พัฒนาและส่งเสริมสวัสดิการของคนที่ทำอาชีพฟรีแลนซ์...”
ต่อมา The Matter ตั้งคำถามว่า คนรุ่นใหม่ประชาธิปัตย์ เปลี่ยนพรรคได้จริงไหม?
“...แม้หลายคนจะคิดว่าพรรคที่เก่าแก่ที่สุดจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ขอให้ทุกคนรอดูการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้เกิดขึ้นได้จริง ทั้งนี้กลุ่มคนรุ่นใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์แตกต่างจากคนรุ่นใหม่ของพรรคอื่น คือ ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกหลานของนักการเมือง หรือสืบทอดอำนาจ และคนรุ่นใหม่ของพรรคพร้อมจะรับฟังและทำงานกับคนทุกรุ่น ซึ่งกลุ่มของพวกผมต้องการทำการเมืองที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่ความขัดแย้ง” ไอติม ระบุ
“ถ้าผมเข้ามาในการเมือง ผมเปลี่ยนหรือปรับพรรคไม่ได้ ผมจะไปเปลี่ยนชีวิตคนไทยทั่วประเทศได้ยังไง จุดเริ่มต้นของกลุ่มผมก็คือต้องปรับพรรคให้ได้ก่อน ให้มันทันสมัย เข้าถึงคนรุ่นใหม่ให้ได้มากขึ้น ผมมั่นใจ และผมพยายามเต็มที่จริงๆ” พรพรหม ให้สัมภาษณ์กับ Thai PBS
The Matter จับประเด็นไปที่ “การทำงานร่วมกัน” ของคนรุ่นเก่ารุ่นใหม่ว่า
“...โมเดลที่ประชาธิปัตย์จะเริ่มนำมาใช้ คือระบบ “จับคู่” คนรุ่นใหม่-เก่า ให้ได้ทำงานร่วมกัน เพื่อ “สอนงาน” (ตามคำพูดของพี่มาร์ค หัวหน้าพรรค) และแลกเปลี่ยนแนวคิดเรื่องกันและกัน...”
“เรามีแพชชั่น มีอินเนอร์ ตั้งใจทำนโยบายให้สำเร็จทำการเมืองให้เป็นเรื่องสร้างสรรค์ เราเบื่อการเมืองแบบเก่าๆ ที่ทะเลาะกัน เรายินดีเป็นมิตรกับทุกคน จับมือกับทุกคน” ปลื้ม สุรบถ กล่าว
ส่วนไอติมพูดถึงสิ่งที่ทำให้พวกเขาต่างไปจากคนรุ่นใหม่ในกลุ่มอื่นๆ คือการไม่ปฏิเสธประสบการณ์จากคนรุ่นก่อน และอยู่ด้วยการอย่างประนีประนอม รับฟังซึ่งเหตุผลของทุกคน New Dem จะเป็นพื้นที่ให้คนที่หลากหลายได้เข้ามาพูดคุยอยู่ในสังคมเดียวกันได้
“พวกเราแตกต่างจากกลุ่มคนรุ่นใหม่กลุ่มอื่น เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ปฏิเสธการรับฟังคำแนะนำและประสบการณ์จากคนรุ่นก่อน และพร้อมจะทำงานและสร้างความเปลี่ยนแปลงกับคนรุ่นอื่นภายใต้พรรคเดียวกัน ซึ่งจะเป็นบททดสอบที่ดีที่สุดว่าคนรุ่นใหม่จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงร่วมไปกับคนรุ่นอื่นๆในประเทศได้จริงหรือไม่ หากวันหนึ่งได้มีโอกาสเข้าไปบริหารประเทศ”
ไอติม กล่าว (อ่านบทความของ The Matter ฉบับสมบูรณ์ได้ที่ https://thematter.co/pulse/how-newdem-can-change-democrat/64767?fbclid=IwAR2m-pAGX0jB20rdDetIsVInIjwi8TQ7lDjHW7RuVUKXjGAvMIr0Nx7pdvQ)
จะเห็นว่า การเปิดตัวคนรุ่นใหม่ครั้งนี้ ให้ความรู้สึกเชิงบวกเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ขับเคลื่อนตัวเองเพราะโกรธใครหรือเกลียดอะไรแต่พูดถึงปัญหา และความปรารถนาที่จะแก้ไขร่วมไปกับทุกๆ คน
ปัญหา “รุ่นเก่า-รุ่นใหม่” ในพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่มี จะมามีก็คือ “ความเป็นเนื้อเดียวกันภายในประชาธิปัตย์ หลังรู้ผลแพ้ชนะในการเลือกหัวหน้าพรรค” ที่นับวันก็จะเห็นชัดว่า “ไม่ลงรอย” เป็นเนื้อเดียวกัน
อย่างล่าสุด เกิดกรณี นายถาวร เสนเนียม เปิดบ้านให้พรรครวมพลังประชาชาติไทยของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และคณะ ได้ “ใช้พื้นที่” ซึ่งมันดูเหมือนจะมีเรื่อง “กิจกรรมทางการเมือง”
เกี่ยวข้องอยู่ด้วย จนหัวหน้าพรรค คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สั่งให้รองหัวหน้าพรรค ดูแลภาคใต้ อย่างนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่าง
แมเนเจอร์ออนไลน์ รายงานว่า นายนิพิฏฐ์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า มีคนส่งคลิปการปราศรัยของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ที่บ้าน นายถาวร เสนเนียม อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ อดีตส.ส.สงขลา ว่า “พรรคประชาธิปัตย์จะแพ้ในพื้นที่สงขลา เขต 7 และในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” และอีกตอนหนึ่งที่ได้พูดว่า “เรียนท่านถาวร เสนเนียม เลขาธิการพรรค ถ้าไม่ถูกเขาฉ้อ (โกง) ก็ได้เป็นแล้ว” ซึ่งพูดเป็นภาษาใต้ ถือเป็นคำพูดพาดพิงต่อพรรคประชาธิปัตย์แรงมาก ที่สำคัญ คลิปนี้ถูกเผยแพร่ไปในสื่อสังคมออนไลน์ไปทั่ว การพูดเช่นนี้ พรรคเราเสียหาย ซึ่งหากกรรมการสอบสวนสรุปผลว่า การกระทำนั้นไม่ถูกต้อง หรือเกินเลยกติกาของพรรค ก็ต้องมีการลงโทษ ซึ่งมีทั้งการตักเตือน การลบออกจากการเป็นสมาชิกพรรค หรือการให้บุคคลนั้นขาดจากความเป็นสมาชิกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทั้งนี้ จะต่อว่านายสุเทพไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเรา แต่คนของเราเปิดประตูให้เขาเข้ามา แต่ทั้งสองคนย่อมรู้ความเหมาะสมว่าสิ่งใดที่ควรทำหรือไม่ควรทำ อย่างไรก็ตาม ขอให้รอผลการสอบสวนของพรรคออกมาก่อน เพราะขณะนี้มีสมาชิกพรรคกว่า 20 คน มาร้องเรียนแล้ว
ส่วนประเด็นที่นายอภิสิทธิ์สั่งให้ตรวจนั้น มีแค่ “ความกังวลว่าอาจสุ่มเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่ามีการสมยอมหรือฮั้วกันระหว่างพรรค ที่ฝ่ายตรงข้ามอาจนำไปร้องเรียน และมีผลกระทบถึงคนอื่นๆ” จึงสั่งให้ตรวจสอบ ทว่าบัดนี้ ได้ถูก “บิดเบือน” ละเลงเละเทะเป็นเรื่องความหยุมหยิม ใจแคบไปเสียแล้ว
สุเทพ กับถาวร เป็นเพื่อนกัน ใช่ อันที่จริง สุเทพ น่าจะเป็นเพื่อนกับ ปชป. ทั้งพรรคนั่นแหละ ก็เคยเป็นถึงเลขาฯ พรรค ใจกว้าง มีคนรัก บางครั้งเผด็จการบ้าง มีคนบ่น ก็นี่แหละคน มีทั้งชอบและไม่ชอบในกันและกัน
บัดนี้ เพื่อนอยู่กันคนละพรรค ปชป. คนอื่นๆ ก็มีเพื่อนต่างพรรค กินข้าวด้วยกัน ตีกอล์ฟด้วยกัน คุยการเมืองกัน สัมพันธ์กันเป็นปกติ แต่เขาไม่ได้เปิดบ้านให้เพื่อนต่างพรรคมาทำกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งมีความสุ่มเสี่ยงต่อกฎหมายที่ออกมาใหม่
ในฐานะ “หัวหน้าพรรค” ที่ต้อง “รักษาพรรค” ซึ่งเป็นที่ทำงานทางการเมืองของสมาชิกทั้งมวล รวมถึงนายถาวรด้วย จึงไม่อาจนั่งคิดแค่ว่า ใครเป็นเพื่อนใคร เพราะนั่นไม่ใช่ประเด็น แต่ต้องดูในระดับหลักการและกฎหมาย ว่าจะป้องกันความฉิบหายไม่ให้เกิดแก่พรรคได้อย่างไร จึงต้องมอบหมายให้รองหัวหน้าพรรคไปตรวจสอบเสีย พร้อมกับกำชับว่า “ต้องเปิดโอกาสให้นายถาวรได้ชี้แจงด้วย”
ในความไม่เป็นเอกภาพ ในความไม่รู้กาลเทศะ และในลัทธิเอาอย่างที่กำลังลุกลาม เช่น หมอวรงค์บอกว่า ถ้าลุงกำนันมาก็เปิดบ้านเลี้ยงข้าว ก็นะ เลี้ยงข้าวมันเรื่องหนึ่ง ให้ทำกิจกรรมทางการเมืองต่างหาก คือประเด็น จะบิดเบือนประเด็นกันไปเป็นเรื่องอื่นทำไม เหตุการณ์นี้บอกให้รู้ว่า ใต้เก้าอี้หัวหน้าพรรคของอภิสิทธิ์ มี “คลื่นใต้น้ำ” ซึ่งอย่าหวังว่าจะไหลไปที่อื่น เพราะ หลังเลือกหัวหน้าพรรคไปแล้ว โอกาส “ยึดพรรค” ยังอยู่อีกหลังเลือกตั้ง กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์แพ้ โดยสปิริตของนายอภิสิทธิ์ เขาย่อมประกาศลาออก ถึงเวลานั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้
รอสิครับ เรื่องอะไรจะไหลไปอยู่พรรคอื่น –นี่คือสิ่งที่คนคิดได้
แต่ถ้าไม่อยากให้คนคิดอย่างนั้น เพราะไม่มีใครคิดอย่างนั้นอยู่ ก็เร่งรีบเป็นเอกภาพ เป็นเนื้อเดียวกัน กอดคอกันไปสู้กับพรรคอื่นๆ ในการเลือกตั้งเสียดีกว่า อย่ามา “ขัดแข้งขัดขา” กันให้มิตรรักแฟนเพลงเขาเสียศรัทธา หรือเบื่อหน่าย ไม่แน่ใจ ที่จะฝากความหวังไว้เลย รวมไปถึงให้ “เด็กรุ่นหลัง” ที่ตั้งใจดี เขาได้มีศรัทธาต่อทั้งคนและพรรคต่อไปเถิด
หัวหงอกกันแล้ว ทำตัวให้ดี ให้เป็นที่เชื่อถือเชื่อใจและเป็นแบบอย่างแห่งสถาบันการเมืองในสังคมประชาธิปไตยกันดีกว่า!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี