ในบรรดาพระธรรมคำสอนทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าอันปรากฏในพระไตรปิฎกนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนตามควรแก่สถานการณ์และบุคคลที่รับการสอน ที่สำคัญคือตรัสสอนไปตามสภาพการณ์ในเวลานั้น ยกเว้นพระธรรมเทศนาสองเรื่องที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามีเวลาเตรียมตัวก่อน
เรื่องแรก คือธัมมจักกัปปวัตนสูตรที่ทรงเทศนาสอนปัญจวัคคีย์ตามที่ทรงมีพุทธประสงค์เสด็จพุทธดำเนินเป็นระยะทางไกลไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 หลังจากทรงปฏิสันถารกับปัญจวัคคีย์ซึ่งตอนแรกไม่ต้อนรับขับสู้ จนกระทั่งพร้อมน้อมรับฟังพระธรรมแล้วในวันนั้น แต่ก็ยังไม่ตรัสสอนใดๆ ทรงทอดเวลาไปจนถึงวันรุ่งขึ้น คือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 จึงทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตรเป็นปฐมเทศนา เป็นเหตุให้พระรัตนตรัยบังเกิดขึ้นครบถ้วนในวันนั้นคือวันอาสาฬหบูชา
พระธรรมเทศนาครั้งที่สอง ที่ทรงเตรียมพระองค์เป็นเวลาค่อนข้างนานคืออานาปานสติ หรือที่มีชื่อในพระสูตรว่าอานาปานสติสูตร
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภที่จะแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องอานาปานสติในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ทรงปรารภเหตุการณ์ที่พระอรหันตสาวกกำลังพร่ำสอนพระนวกะหรือพระลูกศิษย์โดยแบ่งกันเป็นกลุ่มๆ ในการสอน และสอนแบบต่างๆ กันตามอัชฌาสัยของศิษย์และผู้สอน มีตั้งแต่พระระดับพระอรหันต์ลงมาจนกระทั่งถึงพระบวชใหม่
อาการที่พระสงฆ์สาวกพร่ำสอนศิษย์อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าทรงพอใจในปฏิปทานี้ ทรงสรรเสริญปฏิปทานี้ และเป็นปฏิปทาที่ควรแก่การเชิญชวนคนทั้งหลายให้ไปชมไปดูให้ไปเรียนรู้ศึกษา เพราะเป็นปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความวิเวก เพื่อความดับแห่งกิเลส เพื่อความสิ้นอาสวะ เพื่อดับทุกข์และพระนิพพาน
เมื่อทรงมีพระพุทธดำรัสเช่นนั้นแล้วก็ตรัสต่อไปว่า พระองค์จะประทับอยู่ ณ พระอารามแห่งนี้ไปจนครบสี่เดือนแห่งฤดูฝน อันเป็นฤดูแห่งดอกโกมุทบาน และจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องอานาปานสติ
ดังนั้นพระธรรมเทศนาในเรื่องอานาปานสติจึงเป็นพระธรรมคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศการสอนล่วงหน้าถึงสี่เดือน จึงเป็นพระธรรมคำสอนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งท่านเจ้าคุณพุทธทาสเคยกล่าวว่าการศึกษาปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนนี้เพียงเรื่องเดียวก็สามารถเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้
ความในพระสูตรก็มีความชัดเจนเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเองก็ตรัสสรรเสริญอานาปานสติว่ามีผลมาก มีอานิสงส์มาก ผู้ใดเจริญอานาปานสติบริบูรณ์แล้ว ย่อมเจริญสติปัฏฐานให้บริบูรณ์ได้ และผู้ใดที่เจริญสติปัฏฐานบริบูรณ์แล้ว ย่อมเจริญโพชฌงค์ให้บริบูรณ์ได้ และผู้ใดเจริญโพชฌงค์ให้บริบูรณ์แล้ว ผู้นั้นย่อมเข้าถึงวิชชาและวิมุต
และในหลายที่หลายแห่งก็ตรัสรับรองว่าพระพุทธองค์เองทรงมีปกติสถิตในอานาปานสติวิหาร ซึ่งหมายถึงการมีปกติกำหนดจิตอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก และทรงรับรองด้วยว่าแม้ในการตรัสรู้ พระองค์ก็ตรัสรู้ในอานาปานสติวิหาร และในมหาปรินิพพานสูตรนั้นก็ชัดเจนเช่นเดียวกันว่า แม้ในวาระสุดท้ายแห่งการเสด็จปรินิพพาน ก็ทรงสถิตอยู่ในอานาปานสติวิหารจนลมหายใจสุดท้ายเป็นที่สุด
ดังนั้นอานาปานสติสูตรจึงเป็นพระธรรมคำสอนที่เป็นระบบอย่างยิ่ง มีความเป็นขั้นตอนอย่างชัดเจน เป็นทั้งส่วนปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ อันเห็นได้ชัดเจนว่าการเจริญอานาปานสตินั้นก็คือการเจริญอริยมรรคอันมีองค์แปดนั่นเอง โดยเฉพาะคือการเจริญสัมมาสติและสัมมาสมาธิ อันจะนำไปสู่การเจริญปัญญา คือการสลัดออกจากกิเลสและอาสวะทั้งหลาย ถึงซึ่งวิชชาและวิมุต
ทรงแสดงการเจริญอานาปานสติเป็นสี่ขั้นใหญ่ คือ
ขั้นกาย หรือที่เรียกว่ากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งแบ่งออกเป็นอีกสี่ขั้นย่อย ในขั้นนี้ที่หมายปลายทางของการสอนก็คือ การทำให้การปรุงแต่งกายสงบรำงับ หรือที่เรียกว่าทำกายสังขารให้สงบรำงับ
ขั้นเวทนา หรือที่เรียกว่าเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งแบ่งออกเป็นอีกสี่ขั้นย่อย ในขั้นนี้ที่หมายปลายทางของการสอนและการปฏิบัติคือ การทำเวทนาให้สงบรำงับ เพื่อให้จิตมีความบริสุทธิ์ ตั้งมั่น และควรแก่งานในหน้าที่ของจิตเพราะเวทนานั้นเป็นสิ่งปรุงแต่งจิต ดังที่เรียกว่าทำจิตสังขารให้สงบรำงับ
ขั้นจิต หรือที่เรียกว่าจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งแบ่งออกเป็นสี่ขั้นย่อย ในขั้นนี้ที่หมายปลายทางก็คือทำจิตให้บริสุทธิ์เป็นอุเบกขา มีความสว่างไสวเจิดจ้า มีพละกำลัง และมีความแคล่วคล่องว่องไว มีความพร้อมสูงสุดที่จะทำหน้าที่ของจิตคือการเจริญสมาธิและเจริญปัญญา
ขั้นธรรม หรือที่เรียกว่าธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งแบ่งออกเป็นสี่ขั้นย่อย ในขั้นนี้ที่หมายปลายทางคือ
เจริญสมาธิ และเจริญปัญญาขั้นสูงสุด เพื่อสลัดออกจากกิเลสและอาสวะทั้งหลาย เพราะได้ดับความยึดมั่น ถือมั่น หรืออุปาทานขันธ์สิ้นเชิงแล้ว และเข้าถึงวิชชาและวิมุต โดยอาการที่ตรัสว่า “วิราคา วิมุจจะติ วิมุตตัสสมิง วิมุตตะมิติ
ญาณัง โหติ” ซึ่งแปลว่า เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ยิ่งว่าได้หลุดพ้นแล้ว
ดังนั้นในโอกาสที่เดือนแห่งดอกโกมุทบานมาถึง และเป็นช่วงเวลาครบสี่เดือนแห่งฤดูฝน จึงเป็นเวลาอันควรแก่การน้อมรำลึกถึงการแสดงพระธรรมสำคัญคืออานาปานสติ เพื่อน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติโดยถ้วนหน้ากันก็ย่อมมีโอกาสได้ลิ้มชิมรสพระธรรมไม่ให้เสียทีที่เกิดมาเป็นเวไนยสัตว์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี