หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้บริหารประเทศในฐานะองค์อธิปัตย์เป็นเวลายาวนานกว่า 4 ปี หลังจากที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2561 ผ่อนคลายจากอำนาจเผด็จการสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ และกำลังนำไปสู่การปฏิบัติโดยยินยอมให้ตัวแทนประชาชนตั้งพรรคการเมืองได้แล้ว แต่ยังไม่ตัดสินใจกำหนดวันและเวลาจัดให้มีการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ
นอกจากกล่าวว่า จะให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในที่ต่างๆ จึงทำให้มีการวิจารณ์ว่า อาจจะนานกว่าเวลาที่กำหนดด้วยวาจา อย่างไรก็ดี ถ้าเกิดมีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปตามข่าวอาจเกิดปฏิกิริยากลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ได้ เพราะอารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้มีการเลือกตั้งจนอาจเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยขึ้นได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีแก่ประเทศชาติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปนิสัยของคนไทยเป็นคน “ขี้เบื่อ” ดังที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ คือ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ขึ้นได้และยิ่งไปกว่านั้น
อารมณ์ทางการเมืองของประชาชนกำลังรู้สึกว่า รัฐบาลกำลังใช้หลักประชานิยมในการหาคะแนนนิยมแม้จะแก้ตัวโดยเนติบริกรว่าไม่ใช่แต่เป็นวิเศษนิยมก็ตาม เพราะรัฐบาลกำลังใช้เงินภาษีของประเทศจำนวนมากแจกจ่ายให้กับประชาชนผู้ยากจน ซึ่งมองเผินๆ ก็ดี เพราะจะทำให้คนยากจนได้รับอานิสงส์แต่ขัดกับความเป็นจริงเพราะเงินที่รัฐบาลหว่านลงไปหลายโครงการเป็นเงินจากภาษีอากรที่เก็บจากประชาชนทั้งสิ้นและวิธีการช่วยเปรียบเสมือนสุภาษิตที่ว่า “แทนที่จะแจกเบ็ดกับเหยื่อให้ไปตกปลากลับให้ปลาไปรัปทาน” ซึ่งผิดการหลักสวัสดิการสังคม เพราะหลักสวัสดิการสังคมนั้นใช้นโยบาย เฉลี่ยสุข คือ เก็บภาษีจากคนรวยเอาไปช่วยคนจนเพื่อให้คนจนช่วยตัวเองไม่ใช่ช่วยคนจนดังที่ปรากฏ เพราะมาตรการที่รัฐบาลช่วยคนจนโดยแจกเงินให้จะเป็นการซ้ำเติมให้ประชาชนเปรียบเสมือนประชาชนเป็นขอทานต้องแบมือขอจากรัฐบาลตลอดไป
ยิ่งไปกว่านั้นการกระทำของรัฐบาล ในเรื่องนี้ ถ้าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะพรรคประชารัฐมีความประสงค์ที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศภายหลังเลือกตั้งก็จะถูกกล่าวหาว่า“ซื้อเสียงล่วงหน้า” แม้จะแก้ตัวว่ายังไม่มีการประกาศให้มีการเลือกตั้งตามกฎหมายแต่โดยพฤตินัย พฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว ยกเว้นแต่ถ้าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศว่า “จะยุติบทบาททางการเมือง” ภายหลังการเลือกตั้ง หมายความว่าไม่มีผลประโยชน์จากสิ่งที่กระทำภายหลังการเลือกตั้ง ถ้าสถานการณ์เป็นไปดังกล่าว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้รับยกย่องว่าการที่เข้ามาเป็นองค์อธิปัตย์ก็เพื่อทำหน้าที่เป็นคนกลางที่ปกป้องประเทศไทยมิให้เป็นรัฐที่ล้มเหลว ท่านจะกลายเป็น “วีรบุรุษ” แต่ถ้าเหตุการณ์ตรงกันข้าม แสงสว่างแห่งประชาธิปไตยที่กำลังจะเกิดขึ้นจะกลายเป็นตรงกันข้ามเช่นกัน ซึ่งประชาชนชาวไทยผู้รักชาติ รักประชาธิปไตย ไม่อยากเห็นเกิดขึ้นอีกในสังคมไทย ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่นิยม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ทำหน้าที่เป็นกรรมการทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากการเป็นรัฐที่ล้มเหลว อยากเห็นท่านเป็นวีรบุรุษของชาติตลอดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่อยากเห็นบ้านเมืองเกิดกลียุคอีก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี