เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.2561 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีการประชุมคณะกรรมการป.ป.ช. เพื่อพิจารณาวาระที่คณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริง กรณีถือครองนาฬิกาหรู และแหวนเพชรของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ซึ่งไม่ได้อยู่ในรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน
ในการประชุมครั้งนี้ มีกรรมการ ป.ป.ช.เข้าร่วมประชุมจำนวน 8 คน นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการ ป.ป.ช. ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เนื่องจาก พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ได้ขอถอนตัวจากการพิจารณาเรื่องดังกล่าว หลังประชุมเสร็จ มีการแถลงและเผยแพร่เอกสารผลการพิจารณา ซึ่งข้อมูลตรงกัน ผมจึงขอยึดเอาข้อความในเอกสาร มาให้อ่านกันอย่างสมบูรณ์ ดังนี้
“...นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่าวันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2561) ได้มีการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยมีเรื่องสำคัญที่ควรแถลง ให้สื่อมวลชนทราบ คือ กรณีปรากฏเป็นข่าวทางสื่อมวลชนว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ สวมใส่นาฬิกาหรู แต่ไม่แจ้งนาฬิกาดังกล่าวในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2557
และกรณีที่มีผู้ร้องเรียน ให้ตรวจสอบพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่าจงใจยื่นบัญชี ทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีไม่แสดงนาฬิกาหรูและแหวนประดับมีค่าที่สวมใส่ในโอกาสต่างๆ ที่ปรากฏเป็นภาพข่าวตามสื่อมวลชนนั้น
คณะกรรมการ ป.ป.ช. (พลตำรวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ขอถอนตัวไม่เข้า ร่วมพิจารณา) ได้พิจารณารายงานผลการตรวจสอบปรากฏว่า สำนักงาน ป.ป.ช. ได้ให้พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว จำนวน 4 ครั้ง ซึ่งพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมาแล้วว่า
นาฬิกาทั้งหมดจำนวน 22 เรือน ได้ยืมจาก นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทและได้คืนไปหมดแล้ว ส่วนแหวน มีทั้งที่เป็นมรดกของบิดาที่มารดามอบให้ระหว่างที่พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ ดำรงตำแหน่งดังกล่าว บางวงเป็นแหวนรุ่นหรือแหวนวัตถุมงคลมีมูลค่าไม่สูงมาก
จากการสอบปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง และขอเอกสารหลักฐานจากผู้แทนจำหน่ายนาฬิกาหรูในประเทศไทย รวมทั้งขอเอกสารและความร่วมมือจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมศุลกากร และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อตรวจสอบการสำแดงรายการนาฬิกาที่นำเข้าจากต่างประเทศ รวมทั้งผู้จำหน่ายนาฬิกาในต่างประเทศ
ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เป็นนักธุรกิจที่มีฐานะทางการเงินและมีทรัพย์สินเป็นจำนวนมากและชอบสะสมนาฬิการาคาแพง ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ตรวจสอบพบว่า มีการเก็บรักษานาฬิการาคาแพงอยู่ในบ้านของนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์จำนวนมากกว่าที่ร้องเรียน
จากคำให้การของพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง ได้ข้อเท็จจริงว่า นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เป็นคนมีฐานะดี คอยช่วยเหลือสนับสนุนทางด้านการเงินให้กับกลุ่มเพื่อนที่เคยศึกษาที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล และได้ให้เพื่อนในกลุ่มโรงเรียนเซนต์คาเบรียลยืมนาฬิกา ราคาแพงไปใช้สวมใส่ ซึ่งรวมถึงพลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ เพื่อนร่วมห้องเดียวกับนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ที่มีความสนิทสนมกันด้วย นอกจากกลุ่มเพื่อนในโรงเรียนเซนต์คาเบรียลแล้ว นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ยังให้เพื่อนกลุ่มอื่น ยืมนาฬิกาไปสวมใส่ด้วย
เมื่อพิจารณาภาพของนาฬิกาจำนวน 25 เรือนที่ปรากฏเป็นข่าว พบว่ามีภาพซ้ำกัน 3 คู่ จึงมีนาฬิกาที่ต้องตรวจสอบจำนวน 22 เรือน โดยพบว่าอยู่ในบ้านของนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ จำนวน 20 เรือน และพบใบรับประกันนาฬิกาอีก 1 เรือน แต่ไม่พบตัวเรือน รวมเป็น 21 เรือน โดย 21 เรือนดังกล่าวพบหลักฐานว่านายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เป็นผู้ซื้อจากผู้จำหน่ายในต่างประเทศจำนวน 1 เรือน ซื้อต่อจากผู้อื่นจำนวน 2 เรือน ส่วนที่เหลือไม่พบหลักฐานการซื้อจากผู้จัดจำหน่ายภายในประเทศ และกรมศุลกากรก็ไม่สามารถตรวจสอบยืนยันการนำเข้านาฬิกาจากต่างประเทศได้ เพราะผู้นำเข้าบางรายไม่สำแดงข้อมูลรายละเอียดของนาฬิกา
ในส่วนการขอข้อมูลการซื้อขายนาฬิกาจากต่างประเทศ บางประเทศได้ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล หรือบางประเทศตอบว่าไม่สามารถตรวจสอบได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว เห็นว่าพยานหลักฐานฟังได้ว่านาฬิกาที่ปรากฏเป็นข่าว เก็บรักษาอยู่ในบ้านของนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ และเป็นส่วนหนึ่งของนาฬิการาคาแพงที่นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ได้สะสมไว้ แม้ไม่ปรากฏเอกสารการซื้อขายว่านายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เป็นผู้ซื้อนาฬิกาดังกล่าว แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 1369 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ที่ยึดถือทรัพย์สินนั้นไว้เป็นการยึดถือเพื่อตน จึงต้องด้วยบท สันนิษฐานตามกฎหมายดังกล่าว ว่า นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เป็นเจ้าของนาฬิกาตามภาพข่าว จำนวน 21 เรือน และได้ให้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ยืมใช้ในโอกาสต่างๆ ตามที่ปรากฏในภาพข่าว
ประกอบกับนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ได้ให้เพื่อนคนอื่นยืมใช้นาฬิการาคาแพงด้วย จึงรับฟังว่าเป็นการกระทำโดยปกติของนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ที่ช่วยดูแลกลุ่มเพื่อนเก่าโรงเรียนเซนต์คาเบรียลที่สนิทสนมกัน รวมถึงเพื่อนกลุ่มอื่นด้วย ในส่วนของนาฬิกาอีก 1 เรือน ที่ไม่พบตัวเรือน และไม่พบใบรับประกันนั้น จากการตรวจสอบยังไม่พบรายละเอียดข้อมูลนาฬิกาเรือนดังกล่าว แต่เมื่อนาฬิกา เป็นสังหาริมทรัพย์ที่เคลื่อนย้ายได้ง่าย และนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ได้เสียชีวิตไปแล้ว และเมื่อรับฟังว่าพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ยืมนาฬิกาจากนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ มาสวมใส่ในการออกงานต่างๆ จำนวน 21 เรือนข้างต้น จึงรับฟังได้ว่าพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้มีการยืมนาฬิกาเรือนที่ยังตรวจสอบไม่พบมาสวมใส่เช่นกัน ทั้งนี้ ไม่ปรากฏว่า นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ และบริษัทคอม-ลิ้งค์ เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แต่อย่างใด
กรณีแหวนที่ปรากฏตามภาพข่าวที่พลเอก ประวิตร สวมใส่จำนวน 12 วง นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาคำชี้แจงของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ แล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานรับฟังได้ว่า แหวนจำนวน 3 วง เป็นทรัพย์มรดกของบิดาของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ได้รับมาจากมารดา ในขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงไม่มีหน้าที่ต้องแสดงแหวนดังกล่าวในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกรณี เข้ารับตำแหน่งดังกล่าว แหวนที่เหลือเป็นแหวนที่เป็นสัญลักษณ์หน่วยทหาร หรือแหวนวัตถุมงคลที่มีราคาไม่มาก นำมาใส่เพื่อเป็นสิริมงคล หรือใส่เพื่อแสดงสัญลักษณ์ของสังกัด จึงไม่ต้องแสดงในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เช่นกัน
จากพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 3 ว่า กรณียังไม่มีมูลเพียงพอ ว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรรณ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่า มีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินนั้น
โดยกรรมการ ป.ป.ช.เสียงข้างน้อยเห็นว่า พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยได้ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม นอกจากนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้แจ้งข้อมูลนาฬิกาจำนวน 22 เรือน ต่อกรมศุลกากร เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกัน...”
ขณะแถลงข่าว นักข่าวถามนายวรวิทย์ว่า ประเด็นการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ ตามมาตรา 128 พ.ร.ป.ป.ป.ช. ยุติไปด้วยหรือไม่ นายวรวิทย์กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวมีคณะทำงานอีกชุดดำเนินการตรวจสอบ เมื่อถามย้ำว่า ถือว่าเรื่องดังกล่าวยุติไปเลยหรือไม่ นายวรวิทย์กล่าวว่า ในเรื่องการยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินฯ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติว่าไม่มีมูล ส่วนนาฬิกา 22 เรือนที่ส่งเรื่องให้กรมศุลกากรดำเนินการนั้น จะเป็นการดำเนินของกรมศุลกากร ซึ่งจะไม่มีการส่งเรื่องมาที่ ป.ป.ช.อีก
รายงานข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช. แจ้งว่า สำหรับกรรมการเสียงข้างน้อย 3 เสียงนั้น เห็นว่า การสอบสวนยังสามารถดำเนินการต่อไปได้อีก โดยเฉพาะเรื่องการทำความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ แต่ต้องดำเนินการโดยอัยการ อย่างไรก็ดี กรรมการเสียงข้างมากเห็นว่า ส่วนใหญ่การทำความร่วมมือระหว่างประเทศดังกล่าว การตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินมักไม่ทำกันในระดับนานาชาติ เรื่องที่ทำกันส่วนใหญ่เป็นคดีอาญา อีกทั้งในอิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์ ไม่มีการทำความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องการตรวจสอบ ดังนั้น ถ้าเกิดเดินต่อไป จะถือว่าเป็นการถ่วงเวลา หรือยื้อเรื่องนี้ออกไปอีกเปล่าๆ จึงควรจบเรื่องเพียงเท่านี้ กรรมการเสียงข้างน้อยเลยระบุว่า อยากให้สอบต่อไปเพื่อให้สิ้นกระแสความ เพราะเท่าที่ทำถึงตอนนี้ ถือว่ายังไม่ได้เต็มที่ ยังมีช่องที่จะตรวจสอบเพิ่มเติมได้อีก ทั้งนี้ ตามกฎหมายใหม่ ป.ป.ช. กำหนดให้กรรมการที่เข้าร่วมพิจารณาคดีต้องทำความเห็นส่วนบุคคลทั้งหมด เพื่อให้ทราบว่ามีความเห็นต่อเรื่องนั้นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม มีการนำเรื่องนี้ไปเทียบกับคดีของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม กรณีการครอบครองรถโฟล์ค ราคา 2.9 ล้านบาท ที่อ้างว่า ภรรยายืมเพื่อนนักธุรกิจมา จึงไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สิน
1) กรณี นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม นายสุพจน์ ไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงิน 17 ล้านบาทเศษ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี 2542 นายสุพจน์อ้างว่า นายเอนก จงเสถียร เพื่อนนักธุรกิจของภรรยา ให้ยืมใช้ รถยนต์ Volkwagen มูลค่า 2.9 ล้านบาท จึงไม่ได้ระบุรายการรถยนต์ไว้ในบัญชีทรัพย์สิน แต่หลัง ป.ป.ช.ตรวจสอบพบว่า มีข้อมูลหลายอย่างไม่สัมพันธ์กัน เช่น การตรวจสอบพบว่า ผู้ยืม-ผู้ให้ยืม เพิ่งทำงานร่วมกันไม่ถึง 2 เดือน การให้ยืมสิ่งของมูลกว่าเกือบ 3 ล้านบาท จึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ประกอบกับตรวจสอบพฤติการณ์การใช้ การซ่อม การเติมน้ำมันรถ และพยานแวดล้อมอื่นๆ จนพบและเชื่อได้ว่า ข้อเท็จจริงไม่น่าจะเป็นไปตามที่นายสุพจน์กล่าวอ้าง ทำให้ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดและส่งฟ้องตามกระบวนการ แต่พฤติการณ์ของนายปัฐวาทต่างออกไป เขาให้คนยืมนาฬิกาเยอะแยะไปหมดโดยเฉพาะเพื่อนที่เรียนด้วยกันมา การให้ พล.อ.ประวิตร ยืม ไม่ใช่พฤติกรรม “ผิดปกติ” ของนายปัฐวาท
2) มีคนเอาไปเทียบกับกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ด้วย กรณีของนายชูวิทย์นั้น ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายชูวิทย์ให้การรับสารภาพนะครับ พร้อมแถลงประกอบคำรับสารภาพว่า ตนมีทรัพย์สินมากกว่า 500 ล้านบาท โดยไม่ได้เจตนาปกปิดการรายงานหุ้นร่วมลงทุนจำนวน 150,000 บาท เนื่องจากผู้ทำรายงานคงตกหล่นไป ประกอบกับในปี 2546 ตนได้โอนหุ้นดังกล่าวให้กับบุคคล 2 คนเป็นผู้ถือหุ้นแทน เนื่องจากการขอใบอนุญาตสถานประกอบการ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอมให้ใช้ชื่อตนเป็นผู้ประกอบการ และหุ้นของภัตตาคารดังกล่าวไม่มีรายได้ จึงเข้าใจว่าไม่ต้องรายงานทรัพย์สินดังกล่าวแก่ ป.ป.ช. ที่ผ่านมาตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองปี 2548 ก็ไม่เคยรายงานทรัพย์สินดังกล่าวขอให้ศาลใช้ดุลพินิจนำคำแถลงประกอบคำรับสารภาพของตนเพื่อใช้ดุลพินิจพิจารณาโทษ
ศาลพิจารณาแล้วผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ คดีไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานอีก จึงอ่านคำพิพากษาทันที
ศาลพิเคราะห์คำร้องเอกสารประกอบคำฟ้องและคำให้การผู้ถูกกล่าวแล้ว เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เมื่อปี 2554 พ้นจากตำแหน่งปี 2556 ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของตนเอง คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแก่ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน นับจากวันเข้ารับตำแหน่ง, วันที่พ้นตำแหน่ง และวันที่พ้นตำแหน่งมาแล้ว 1 ปี ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 32,33 ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาเคยยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในการดำรงตำแหน่ง สส. ครั้งที่ 1 และ 2 มาแล้ว ย่อมทราบดีว่าผู้ถูกกล่าวหามีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินฯ ให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด
แต่ผู้ถูกกล่าวหายื่นรายการแสดงทรัพย์สิน โดยไม่แสดงรายการเงินลงทุนกับภัตตาคารแห่งหนึ่ง มูลค่า 150,000 บาท โดยชี้แจงต่อ ป.ป.ช. ว่า ได้โอนหุ้นให้พนักงานสถานประกอบการไฮคลาสเอ็นเตอร์เทนเมนต์ 2 ราย ไปก่อนกำหนดการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ซึ่งขัดกับคำให้การของพนักงานสถานประกอบการไฮคลาสฯ ทั้ง 2 รายต่ออนุกรรมการไต่สวนว่า พยานเป็นเพียงพนักงานของสถานประกอบการไฮคลาสฯ และมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นแทนผู้ถูกกล่าวหาเพื่อยื่นเรื่องขอใบอนุญาตสถานประกอบการเท่านั้น แต่ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้ถือหุ้นที่แท้จริง
พฤติการณ์จึงเชื่อว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ถือหุ้นของภัตตาคารที่ร่วมลงทุน แต่มีเจตนาไม่แสดงรายการทรัพย์สินดังกล่าว ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีหน้าที่ยื่นบัญชีรายการแสดงทรัพย์สินและหนี้สิน ที่ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องปฏิบัติ เพื่อใช้ตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ จึงฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่ง สส.ครั้งที่ 2
พิพากษาว่า นายชูวิทย์จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 32, 33
เรื่อง “แหวนพ่อ นาฬิกาเพื่อน” นี้ สำคัญที่ “ข้อกล่าวหา” กับ “ข้อเท็จจริง” และ “พฤติการณ์” วิญญูชนพึงพิจารณาอย่างมีเหตุผล ดูว่า ป.ป.ช.ตรวจในทุกประเด็นที่ควรตรวจแล้วหรือไม่ ซึ่งอ่านจากเอกสาร ป.ป.ช. ที่ผมนำมากล่าวถึงก็ชัดเจนแล้ว แต่โชคร้ายคือ พล.อ.ประวิตร ถูกมองเป็น “คนเทาๆ” หลายคนไม่เชื่อผลการตรวจครั้งนี้ และมองว่า ป.ป.ช.ช่วย พล.อ.ประวิตร ป.ป.ช.พลอยซวยไปด้วย
และคนที่ซวยท้ายสุดตอนนี้คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กำลังอยู่ในกระแสว่า ควรเป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้งอีกหรือไม่หางเลขยังฟาดโครมเข้าที่พลังประชารัฐอย่างช่วยไม่ได้ กระแสนิยมจะตกเพราะเรื่องนี้หรือไม่ อยู่ที่ความมีเหตุมีผลของประชาชนแล้วล่ะครับ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี