Cul de Sac เดิมทีเป็นศัพท์ภาษาฝรั่งเศส แต่ถูกนำมาใช้เป็นคำสามัญทั่วไปในภาษาอังกฤษด้วย แปลว่า ทางตันที่ปลายทางเป็นวงกลมเพื่อให้รถยนต์เวียนกลับออกไปทางเข้ามาได้ ในอีกนัยหนึ่งก็คือทางตันท้ายซอย
ในสนามการเมืองของไทย ณ วันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังดูมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าต่อไปโดยกำลังจะก้าวจากสถานะนายกรัฐมนตรีในกรอบการเมืองแบบเผด็จการ ไปสู่การเป็นนายกรัฐมนตรีในกรอบการเมืองแบบรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง (แม้ว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจะถูกกำหนดให้ประชาธิปไตยไทยเป็นแบบครึ่งใบก็ตาม)
ซึ่งก็ดูเป็นไปได้เนื่องจาก พลเอกประยุทธ์ มีสมาชิกวุฒิสภาที่แต่งตั้งเองกับมืออยู่แล้วถึง 250 คน และในขณะเดียวกันก็ยังมีการจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ เพื่อสร้างฐานเสียงและรองรับการต่อสู้ในเวทีสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนั้น พลเอกประยุทธ์ยังสามารถสร้างคะแนนนิยมล่วงหน้าที่ได้เปรียบกว่านักการเมืองท่านอื่นๆ แบบสุดๆ นั่นคือ ด้วยโครงการประชารัฐ (ประชานิยม ชื่อใหม่) ด้วยการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร และการลงพื้นที่ต่างจังหวัด อ้างว่าไปตรวจราชการ นอกจากนั้นก็ยังมีพวก “ขุนพลอยพยัก” อีกหลายพรรค ที่ออกมาสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ อย่างโจ่งแจ้ง ไม่อายฟ้าดิน และบรรดาพรรคที่ชอบ ที่มีอุดมการณ์ต้องเข้าร่วมรัฐบาลผสมตลอดกาลเป็นพลังสมทบอีกด้วย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เส้นทางสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกรอบนั้นช่างดูราบรื่น ไร้ขวากหนาม พลพรรคก็เลยเริ่มคิดใฝ่ฝันถึงตำแหน่ง อำนาจ และผลประโยชน์ที่จะพึงตามมากันเสียตั้งแต่วันนี้แล้ว
แต่เส้นทางนั้นจะโรยด้วยกลีบกุหลาบจริงหรือ?
ตามประวัติศาสตร์การเมืองไทย คนไทยก็ได้เห็นทั้งจอมพล และนายพล ตบเท้าออกมาจากรั้วทหาร แล้วมาตั้งพรรคการเมืองมาโดยตลอด ไม่ว่า จอมพลแปลก พิบูลสงครามจอมพลถนอม กิตติขจร พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก พลเอกสุจินดา คราประยูร รวมถึง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน และมาบัดนี้ ก็ได้แก่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาซึ่งจับมือกันมากับพี่ประวิตร กับพี่อนุพงษ์
เท่าที่เห็นกัน พรรคทหารตั้ง ก็มักจะไปกันได้ไม่กี่น้ำ ก่อนจะจืดจางหายไปในประวัติศาสตร์การเมืองไทย อาจจะเป็นเพราะทหารนั้นชำนาญเรื่องรบ แต่ไม่ชำนาญทางการเมืองจะหาลูกผสมแบบนายทหารและนักการเมืองได้ลำบาก แต่จุดอ่อนสำคัญของพรรคทหารจัดตั้งนั้นก็คือ มักจะเป็นพรรคการเมืองที่ตั้งกันขึ้นมาโดยมิได้ยืนอยู่บนอุดมการณ์ที่จะรับใช้ชาติจัดตั้งมาเพื่อเป็นฐานในการสืบทอดอำนาจกันเท่านั้น ก็เลยเป็นได้เพียงองค์กรเฉพาะกิจเฉพาะกาล เนื่องจากมิได้โยงใยผูกพันกับประชาชน
เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว พอเวลาผ่านไปไม่นานนัก พรรคทหารก็มักจะพบกับทางตันในที่สุด เรียกว่าตายคาท้ายซอย (Cul de Sac)
แต่ก่อนจะมุ่งหน้าต่อในซอยนี้ พลเอกประยุทธ์ก็น่าจะได้พิจารณาบางเรื่อง ก่อนจะก้าวเท้าก้าวต่อไป ดังนี้
1) เมื่อเป็นชายชาติทหาร ก็ควรมีจิตสำนึกถึงความยุติธรรม มีใจนักเลง หากคิดจะลงสู่สนามการเมืองประชาธิปไตยกันจริงจัง ก็ไม่ควรเอาเปรียบคู่แข่งขันอื่นๆ ด้วยการนั่งแช่อยู่บนเก้าอี้นายกฯ ที่ควบคุมและดำเนินการเลือกตั้ง พลเอกประยุทธ์ควรจะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วจะไปดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค หรือกรรมการบริหารพรรคสมาชิกพรรคใดๆ ก็เอาให้ชัดเจน สังคมจะได้ไม่ต้องสับสน
2) หากจะให้พรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคใดก็ตามบรรจุชื่อเป็น 1 ใน 3 ชื่อที่ถูกเสนอตัวให้เข้าแข่งขันเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ควรประกาศให้สังคมได้รับรู้กันแต่เนิ่นๆ แต่หากไม่ประสงค์จะให้ใครนำชื่อไปใช้ ก็บอกกล่าวกับประชาชนออกมาตรงๆ จะได้ไม่มีใครเอาชื่อเสียงท่านไปแอบอ้างได้
3) หากพลเอกประยุทธ์ ลาออก คณะรัฐมนตรีของท่านก็สิ้นสภาพไป ก็จะเป็นการเปิดทางให้มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลชั่วคราวเฉพาะกิจ ขึ้นมาดูแลการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์และยุติธรรม เพื่อหลีกเลี่ยงการได้เปรียบเสียเปรียบใดๆนอกจากนั้นก็ยังสามารถบริหารงานประจำวันของรัฐไปได้ระหว่างช่วงเลือกตั้ง
อย่างไรก็ดี ซอยการเมืองที่ พลเอกประยุทธ์ มุ่งไปนั้น ดูแล้วอาจจะสั้นและตัน ทำให้การเดินทางสะดุด และจบเร็วกว่าที่คาดไว้ เนื่องด้วย
ก) สมาชิกวุฒิสภาที่ท่านแต่งตั้งมานั้น ถึงเวลาจริงๆ ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าท่านจะสั่งให้ซ้ายหันขวาหันได้ทั้งหมดดั่งใจ ซึ่งอาจจะกระทบต่อการได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี
ข) พรรคพลังประชารัฐของพลเอกประยุทธ์ ยังไม่สามารถมั่นใจว่า พรรคตนจะมีจำนวนสส. สูงสุดในสภาผู้แทนราษฎร ก็จะนำมาซึ่งปัญหาการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี และการดำเนินการในสภาให้ราบรื่น
ค) พลเอกประยุทธ์ทำการล้มรัฐบาลระบอบทักษิณทุนนิยมสามานย์ แต่มิได้ขจัดทิ้งเสียให้สิ้นซาก และเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลเลือกตั้งอีกครั้ง พรรคต่างๆ ในเครือข่ายของระบอบทักษิณ ต่างมีท่าทีคึกคัก เพราะมั่นใจว่ามีแนวโน้มที่จะสามารถกุมชัยชนะเลือกตั้งเอาไว้ได้ โดยมีปัญหาเดียวคือ ต้องได้จำนวน สส. ที่จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วก็หมายความว่า คณะปฏิวัติรัฐประหารในนาม คสช. ได้ลงทุนลงแรงเสี่ยงชีวิตทำการปฏิวัติรัฐประหารกันไปทำไม ในเมื่อกระบวนการระบอบทักษิณก็คงอยู่ และมีแนวโน้มว่าจะสามารถผงาดกลับขึ้นมาในเวทีการเมืองไทย ให้คณะ คสช. และพรรคพลังประชารัฐต้องนั่งกุมขมับโดยใช่เหตุ
โดยรวมๆ แล้ว จึงเห็นว่า พลเอกประยุทธ์ กำลังถึงทางตัน เพราะจะลงจากหลังเสือก็ลำบาก จะล้มกระดาน แล้วดำรงตนเป็นรัฐบาลเผด็จการกันต่อไป ก็หาเหตุผลมาให้ความชอบธรรมไม่ได้ ยิ่งจะเลือกลาออกเพื่อไปเป็นนักการเมืองเต็มตัว ก็เต็มไปด้วยอุปสรรค และความเสี่ยงมากมาย
ลองคิดๆ ย้อนกลับไปตอนที่กฎหมายรัฐธรรมนูญผ่านประชามติเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 หากในวันนั้นพลเอกประยุทธ์ ลาออกด้วยเหตุผลว่า ภารกิจในการปูโต๊ะประชาธิปไตยเสร็จสิ้นแล้ว ความเป็นวีรบุรุษในการทำรัฐประหารและจัดการบ้านเมืองให้เรียบร้อยก็คงกลับมาแล้วเมื่อมีการเลือกตั้ง ท่านเกิดอยากจะกลับมาเล่นการเมืองก็ยังดูจะสง่างาม แต่เมื่อไม่ได้เลือกทางนั้น ในวันนี้ท่านจึงตกอยู่ในทางตันไปโดยปริยาย
มีประโยคหนึ่งเขียนไว้ว่า “เมื่อหาทางออกไม่ได้ทางออกสุดท้ายก็คือทางที่เข้ามา” ดังนั้น หากในวันนี้ท่านจะประกาศก้องต่อสังคมว่า จะออกจากถนนการเมืองอย่างถาวร ก็คงพอช่วยกู้เกียรติและศักดิ์ศรีของชายชาติทหารของท่านกลับมาได้ไม่มากก็น้อย สังคมไทยก็คงแซ่ซ้องสรรเสริญท่านกันในระดับหนึ่ง แต่หากยังคงปล่อยให้เสียงกระซิบจากพวกขุนพลอยพยัก ที่โลภอำนาจวาสนามาครอบงำ แล้วสาวเท้าก้าวไปเรื่อยๆ เกรงว่าเมื่อถึงทางตันแล้ว ท่านจะไม่มีที่ไว้ให้เลี้ยวกลับ จนสุดท้ายต้องตายคาซอยอย่างเช่นทหารการเมืองรุ่นพี่ๆ ในอดีตการเมืองไทย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี