การเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ที่อยู่ยงคงกระพันมีหลักการ มีอุดมการณ์ มีสมาชิกจำนวนมาก หลากรุ่น หลายวัย มีความเป็นสถาบันทางการเมืองและเป็นพรรคการเมืองมาตรฐานมานานถึง 72 ปีนั้น ไม่ใช่งานง่ายๆ สำหรับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ในสังคมที่ผู้คนถวิลหา “ความถูกใจ” เป็นสำคัญ อารมณ์หลอนกับเหตุการณ์บางเหตุการณ์จนวางไม่ลง รักษาไม่หาย ยิ่งเพิ่มพูน “ความไม่ง่าย” ให้แก่หัวหน้าพรรคคนนี้
เมื่อเทียบกับหัวหน้าพรรคคนอื่นๆ ไม่มีใครพบ “งานยาก” เท่านายอภิสิทธิ์ เลย
เช่น กัญจนา ศิลปอาชา ก็ดำรงทิศทางที่บิดาเคยดำเนินมาต่อไป คือ ไม่มีศัตรู ไม่ชี้ขาด นัวๆ ถัวๆ รอรับคำเชิญร่วมรัฐบาลกันไป
สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก็สานต่อองค์กรที่มันเซตตัวอยู่แล้ว ว่าจุดยืนเป็นไง อยู่เพื่ออะไร งานหนักหน่อยก็คือ จะหลบหลีกการพูดถึง “ความฉิบหาย” จากโครงการรับจำนำข้าวและการทุจริตที่เกี่ยวพันไปถึงวงศ์ตระกูลที่คนเชื่อว่า เป็น “เจ้าของพรรค” ตัวจริงได้ยังไง ไหนจะการทรยศคนเสื้อแดงให้ตายฟรีด้วย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม อีกล่ะ โชคดีว่ามีพรรคไทยรักษาชาติ แบ่งเบาเอาแกนนำเสื้อแดงไปแสดงโชว์บนเวทีแทน พรรคเพื่อไทยในยุคสุดารัตน์ จึงดูตัดขาดจาก นปช. ในระดับหนึ่ง และเสริมความมั่นใจด้วยการเอา พานทองแท้ ชินวัตร ไปให้คนอีสาน “เห็นหน้า” เพื่อ “คอนเฟิร์ม” อะไรบางอย่างอย่างที่รู้ๆ กัน
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นองค์กรเกิดใหม่ พูดอะไรก็คล่อง เล่นบทห้าว เจาะตลาดนิว โหวตเตอร์ ด้วยการเอาความขัดแย้ง ความล้มเหลว ความคร่ำครึ การสืบทอดอำนาจ การรัฐประหาร ฯลฯ มาเล่นได้อย่างคล่องปาก เพราะพูดอะไรก็ไม่ย้อนเข้าตัว เนื่องจากตัวยังไม่เคยได้ทำอะไรเลย กระนั้นก็ตาม ความห้าวเกินไปในบางเรื่อง ก็ถูกย้อนกลับมาเล่นงานในเชิง “ทัศนคติ” กับการถูกจับได้ไล่ทันในความ “ไม่แน่นของความรู้จริง” แปลว่า “รู้ไม่จริง” ในหลายๆ เรื่องที่พูด เท่านั้นที่ก่อปัญหา แต่เขาก็มีหมู่คณะและน้องโรบอท ปั่นกระแสในสื่อสังคมออนไลน์ได้ต่อไป
อนุทิน ชาญวีรกูล พยายามประกาศจุดขาย “บุรีรัมย์โมเดล” กับ “กัญชาบ้านละ 6 ต้น” แต่ในทางการเมือง ก็วางตัวเป็นพรรคกลางๆ รอวันเจรจาเหมือนพรรคขนาดกลางทั่วๆ ไปที่ไม่มี “โจทก์”
แต่ “ประชาธิปัตย์” รอบนี้ เหมือนถูก “คีบหนีบ”
มีความพยายามก็ “ขับประชาธิปัตย์” ออกจากพื้นที่ “ชิงธง” ด้วยการทำโจทย์การเลือกตั้ง บีบความคิดของคนว่า ต้องเลือกระหว่าง “ประยุทธ์” หรือ “ทักษิณ” นี่พูดง่ายๆ เลย ไม่ต้องดัดจริตว่าเผด็จการบ้าง ประชาธิปไตยบ้าง ที่ล้วนเป็น “คำไม่ซื่อ” ทั้งนั้น
พลังประชารัฐและแนวร่วม พยายามสื่อสารในทำนองนี้ โดยเฉพาะนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นั้น ถึงกับใช้ไม้ตายขายของว่า “ถ้าเลือกพรรคเดิม 2 ขั้ว ก็ทะเลาะกันไม่รู้จบ” มาเลือกพรรคพลังประชารัฐเถอะ (แต่ดูตอนนี้สิครับ พรรคฝ่ายทักษิณทะเลาะกับฝ่าย“สืบทอดอำนาจ” ไม่เว้นแต่ละวัน พลังประชารัฐไม่ใช่ “คนนอกความขัดแย้ง” นะครับ แต่เป็น “คู่ขัดแย้งใหม่” เลยเชียวละ)
พรรค “ลุงกำนัน” นี่เล่นประเด็นนี้อย่างออกหน้าออกตา ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้คือ “เอาทักษิณ” หรือ “ไม่เอาทักษิณ” ในทางอ้อมก็คือ เอาทักษิณ หรือเอาประยุทธ์นั่นแหละ
เพื่อไทยและแนวร่วม รวมไปถึงอนาคตใหม่ ก็เล่นประเด็น “เผด็จการ” หรือ “ประชาธิปไตย”
พอ “หมู่มาก” ไปตั้งโจทย์ บน “ประโยชน์” ที่จะได้จากความเกลียด ความโกรธ ความกลัว หรือความขัดแย้ง ก็ “เบียดขับประชาธิปัตย์” ให้ตกจากการเป็นตัวเลือกทันที
ถามว่าก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ กอบกู้สถานการณ์อย่างไร
เขาเสนอว่า แท้จริงแล้ว คนไทยกำลังถูกหลอกให้คิดว่า ทางเลือกมีแค่สอง ในความเป็นจริงมีทางเลือกที่ 3 หรือ ก๊กที่ 3 คือ “ประชาธิปัตย์”
พูดจริงๆ ว่า ในภาวะเจ็บป่วยทางเศรษฐกิจของประเทศ ประชาธิปัตย์มี “แต้มต่อ” ว่า 1.ซื่อสัตย์สุจริต 2.เป็นพรรคการเมืองมาตรฐาน 3.มีทีมงานโดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจที่นำโดย “ขุนคลังโลก” อย่าง กรณ์ จาติกวณิช อยู่
ประกอบกับ 5 ปีที่ผ่านมา “พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยปิด อภิสิทธิ์ไม่เคยหยุด”
อภิสิทธิ์เดินสายรับทราบปัญหา เรียนรู้ รับฟังประชาชนที่ “ไม่มีตัวแทน” เป็นปากเป็นเสียง เชื่อมต่อกับงบประมาณและอำนาจในสภาให้ ทุกข์ของราษฎรกลายเป็น “วิสัยทัศน์” คือ การ “เห็นปัญหา” ที่เพิ่มพูนและแหลมคมขึ้น และเป็น “แรงผลัก” ให้เขากับคณะ ออกแบบนโยบายเพื่อ “แก้ไข” มากกว่าเล่นการเมืองเพื่อ “แก้แค้น” ประกอบกับการใช้งานวิจัยของสถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทยและทีดีอาร์ไอ มาเป็นพื้นฐานของการออกแบบนโยบาย มันทำให้เวลานี้ ไม่ว่าช่วยเชียร์หรือฝ่ายเฉย กระทั่งฝ่ายไม่ชอบ ล้วนพูดตรงกันว่า “นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ปึ้กที่สุด” คือ เป็นจริงได้มากที่สุด เป็นรูปธรรมที่สุด มีแผนงานละเอียดที่สุด ทำได้จริงและทำได้เลย
แต่มี 2 ปัจจัยรบกวน คือ 1.ออกแบบนโยบายอะไรมา มีคนก๊อบ และเกทับ 2.คนถูกบีบความคิดให้เลือกข้าง ไม่ใช่เลือกนโยบาย
ประชาธิปัตย์ซึ่งพยายามทำ “การเมืองสร้างสรรค์” พยายาม “นำคนออกจากความขัดแย้ง” ดังจะเห็นได้ว่า ประชาธิปัตย์ที่เคยพูดมาก พูดเยอะพูดแยะ พูดตลอดเวลา โต้ทุกคนทุกประเด็น “อยู่ในความสงบ” มานาน โดยเฉพาะหลังนายอภิสิทธิ์ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ “นักพูด” ทั้งหลาย รวมทั้งตัวเขาเองด้วย เลือกพูดเฉพาะสิ่งที่ควรพูด และพูดอย่างพอเหมาะพอดี มีเหตุผล และปรารถนาดีเป็นหลัก
ภาพลักษณ์ที่ดี ความตั้งใจที่ดี นโยบายที่ดี และการแสดงความเป็นผู้นำ ควบคุมพรรคที่เคยมีสมาชิกเป็นเสรีชน คิดอะไรก็พูดโพล่งกันออกมา เริ่มเป็นระบบระเบียบ พร้อมเพรียงกันอย่างเห็นได้ชัด ยังคงจมหายอยู่ในกระแส “ความขัดแย้ง” ที่ถูกฝ่ายอื่น “ปลุก” ขึ้น เพื่อหาประโยชน์จากความขัดแย้งนั้น ซึ่งตรงกับ “จริตของสื่อมวลชน” ด้วย
ประชาธิปัตย์จึงค่อนข้างตกไปจาก “พื้นที่ข่าว” หลังจากที่เขา “เลิกทะเลาะ”
หรือการเมืองสร้างสรรค์ ไม่ใช่สิ่งที่สื่อบ้านเราอยากเห็น อยากผลักดัน?
เรากำลังทำให้ความขัดแย้งกลับมา “มีราคา” กันอยู่ใช่ไหม
ล่าสุด 12.01 น. วันที่ 5 มีนาคม 2562 นายอภิสิทธิ์ เผยแพร่คลิปสั้นๆ ผ่านเฟซบุ๊คของเขา เป็นภาพตัวเขาเอง แสดง “ความชัดเจน” ท่ามกลางการ “ปล่อยข่าวลือ” ว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะไปร่วมกับพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล โดยประกาศว่า
“ผมไม่มีวันยอมให้พรรคที่มีประวัติทุจริตมานำประเทศ ไม่เอาทั้งพวกบกพร่องโดยสุจริต หรือทุจริตเชิงนโยบาย เอาเสียงของประชาชนมาหาประโยชน์ให้กับคนกลุ่มเดียว นายกฯ 4 คนของประชาธิปัตย์ ไม่เคยมีมลทินเรื่องทุจริต รัฐมนตรีในรัฐบาลเรา มีเรื่องอื้อฉาวทุจริต ลาออกทันที เพราะสำหรับประชาธิปัตย์ ประชาธิปไตยจะใช้การได้ ต้องสุจริตเท่านั้น” และปิดท้ายด้วย “หมดเวลาเกรงใจแล้วครับ”
อ่านความหมายแล้ว นี่คือการประกาศไม่ร่วมกับพรรคเพื่อไทยและพรรคฝ่ายทักษิณแน่ๆ
คงสยบ “ข่าวลือ” ได้ชัด
แต่คำถามที่ตามมาคือ แล้วจะร่วมกับใคร?
ถ้าดูคำให้สัมภาษณ์ย้อนหลัง นายอภิสิทธิ์พูดตรงกันทุกที่ว่า อยู่ที่ประชาชน ถ้าประชาชนเลือกพรรคประชาธิปัตย์มากพอ ก็จะเชิญพรรคการเมืองที่สนับสนุนแนวทางและนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์มาจัดตั้งรัฐบาลด้วยกัน แต่ถ้าประชาชนให้คะแนนเราไม่มากพอที่จะเป็นแกนนำได้ ประชาธิปัตย์ก็จะพิจารณาว่า พรรคที่มาชวนจัดตั้งรัฐบาลนั้น มีแนวนโยบายที่สอดคล้องกันหรือไม่ ครั้นเจาะจงไปที่พรรคพลังประชารัฐ ก็มีคำตอบแว่วๆ หลายครั้งว่า ถ้ายังคิดจะใช้จีดีพีเป็นตัววัดเศรษฐกิจและดำเนินนโยบายเศรษฐกิจอย่างปัจจุบัน ก็ไม่น่าจะเป็นแนวทางเดียวกัน
มาวัดใจประชาชนกันว่า เขาพร้อมจะพิจารณาบนโจทย์หรือกรอบคิดว่า “เราไม่ได้มีแค่ 2 ทางเลือก เรามีถึง 3 ทางเลือก” ประชาชนจะคิดตามนี้ไหม แล้วเลือกพรรคที่คนพร้อม นโยบายพร้อม และไม่หาประโยชน์จากความขัดแย้ง จนกระทั่งเล่นเกมบีบหรือบิดความคิดของประชาชนให้เหลือ 2 ทาง
“ประชาธิปไตยสุจริต” ประชาชนจะเข้าใจและเห็นคุณค่าของมันไหม 1 คะแนน จะนำไปเติมให้ฝ่ายหนึ่งชนะฝ่ายหนึ่ง และหล่อเลี้ยง “คู่ขัดแย้ง” เอาไว้ต่อไป หรือจะใส่ใจ “ประชาธิปไตยสุจริต” ที่ถูกหยิบมาเป็น “จุดขาย-
จุดแข็ง” ครั้งนี้
อย่าลืมว่า การรัฐประหารทุกครั้งที่ผ่านมา เชื้อร้าย 2 ตัวที่นำมาสู่ก็คือ ทุจริต และใช้อำนาจตามระบอบประชาธิปไตยไม่สุจริต
แต่เรื่องของเรื่อง คนไทยจะคิดซับคิดซ้อน และพร้อมจะ “ลงทุน” สร้าง “ประชาธิปไตยสุจริต” กับประชาธิปัตย์ไหม สื่อจะทำให้คำคำนี้มีมูลค่าหรือด้อยค่า จงจับตาดูกันต่อไป!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี