การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้มีปรากฏการณ์ที่น่าวิตกมากอยู่ประการหนึ่งก็คือ ความแตกแยกแตกความสามัคคีที่ขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง มีความหนักหน่วงรุนแรงยิ่งกว่าทุกระยะที่ผ่านมา เพราะแทนที่จะเป็นการขับเคี่ยวกันในทางการเมืองปกติ กลับกลายเป็นการฟาดฟันจะเอากันถึงตายทั้งสิ้น
ยังไม่ทันถึงวันเลือกตั้งก็ยุบพรรคการเมืองกันไปพรรคหนึ่งแล้ว และยังมีเรื่องของพรรคการเมืองที่ถูกร้องรอคิวเชือดอยู่อีกสามพรรค คือพรรคพลังประชารัฐ พรรคอนาคตใหม่ และพรรคเพื่อไทย
พวกหนึ่งก็ต้องการให้ยุบพรรค อีกพวกหนึ่งก็เห็นว่าการยุบพรรคเป็นการทำลายทางการเมืองที่บังคับผู้คนให้จำเป็นต้องหาทางเลือกใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าที่ไม่พูดกันนั้นก็คือความคิดทางทฤษฎีที่ว่าเมื่อความขัดแย้งทางการเมืองไม่สามารถมีข้อยุติโดยสันติได้ ก็จะกลายเป็นความรุนแรงหรือสงครามกลางเมือง
พวกผู้เกี่ยวข้องได้เสียทางการเมืองต่างทะเลาะเบาะแว้งด่าว่ากันอย่างหยาบคายและไม่ไว้หน้ากันเลย ทั้งๆ ที่คนบางพวกก็เคยกินข้าวหม้อเดียว เคยทำกรรมต่างๆ ทางการเมืองมาด้วยกัน ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว ก็ย่อมเคล้าคละกันไป ซึ่งสะท้อนว่าการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้มีส่วนได้เสียที่ลึกซึ้งยิ่งนัก
สภาพเช่นนี้จึงเป็นที่น่าวิตกกังวล เป็นเรื่องที่ประชาชนชาวไทยจะต้องตระหนักสังวรว่าหากความแตกแยกแตกสามัคคีแบบนี้ยังขยายตัวต่อไป ในที่สุดก็คงหนีไม่พ้นสงครามกลางเมือง จะเป็นสงครามกลางเมืองแบบซีเรีย อิรัก หรือแบบเวเนซุเอลา ก็ฉิบหายวายวอดทั้งนั้น เพราะประชาชนนั่นแหละที่จะต้องเดือดร้อนบาดเจ็บล้มตายเสียหายเหมือนที่ผ่านๆ มา
เหตุนี้ประชาชนจึงต้องรู้เท่าทันและต้องช่วยกันประคับประคองบ้านเมืองของเราอย่าให้ความแตกแยกแตกสามัคคีขยายตัวมากเกินไป ต้องพยายามสร้างความปรองดองความสมานฉันท์และความสามัคคีในชาติขึ้นให้จงได้
ความปรองดอง ความสามัคคี และความสมานฉันท์นั้นไม่ใช่จะเป็นไปตามความต้องการของแต่ละคนได้ เพราะแต่ละพวกแต่ละฝ่ายต่างก็มีธงหรือความปรารถนาเบื้องลึกของตนเองและพวกพ้องอยู่เสมอ เพราะเหตุนี้แม้จะพร่ำพูดกันถึงเรื่องความปรองดอง สามัคคีสมานฉันท์กันมาหลายปีแล้ว แต่ก็คงเป็นได้แค่การผายลมทั้งสิ้น
นั่นเพราะความปรองดอง สมานฉันท์ สามัคคีที่เพียรพูดกันตลอดมามิได้มีหลักการใดๆ ที่ทุกฝ่ายจะยอมรับกันได้ เหตุนี้ความปรองดอง สมานฉันท์ สามัคคีในชาติจึงต้องมีหลักการที่ยอมรับนับถือร่วมกัน นั่นคือต้องยึดถือให้มั่นคงว่าในปรองดอง สมานฉันท์ และการสร้างความสามัคคีในชาตินั้นจะต้องถือหลักว่าคนไทยทุกคนคือพสกนิกรของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องถือเอาประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ยึดถือเอาพรรคหรือพวก หรือสีเป็นที่ตั้ง
เพราะเหตุยึดถือเอาพรรค เอาพวก และสีเป็นที่ตั้ง จึงทะเลาะเบาะแว้งกันหนักหนาสาหัสต่อเนื่องมาถึง 15 ปีแล้ว เป็นระยะเวลายาวนานและมีประสบการณ์ความเสียหายที่อุดมสมบูรณ์ชัดเจนอยู่แล้ว จึงถึงเวลาที่ทุกคนจะได้หันกลับมายังรากฐานของชาติบ้านเมืองของเรา
คือร่วมกันสร้างความปรองดองสมานฉันท์และความสามัคคีภายในชาติโดยถือเอาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นศูนย์กลาง ถือเอาประโยชน์แห่งชาติเป็นที่ตั้ง ถือเอาประชาชนทุกคนเป็นพี่น้องร่วมชาติเดียวกัน ที่ต้องร่วมชะตากรรมเดียวกัน เพื่อส่งต่ออนาคตของชาติบ้านเมืองไปยังรุ่นลูกหลานสืบไปในอนาคต
ในบ้านเมืองของเรานี้พระเจ้าแผ่นดินก็เปรียบดุจดั่งผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล ปกคลุมและปกปักรักษาราชอาณาจักรนี้ให้ร่มเย็นเป็นสุขมายาวนาน ส่วนราษฎรนั้นก็เปรียบเหมือนผืนแผ่นดินที่รองรับแผ่นฟ้าและมีความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้ ฟ้าดินสมดุลจึงสมบูรณ์นิรันดร์ไป
ประชาชนจึงเป็นพลังของแผ่นดิน เป็นพลังที่จะค้ำจุนราชอาณาจักรไทยของเราให้มีความมั่นคงดำรงสถาพรสืบไปในอนาคตกาลอันไม่มีที่สิ้นสุด
ราชอาณาจักรไทยของเรามีความเป็นพิเศษเฉพาะตัวของประเทศไทยและคนไทย ไม่อาจเอาระบบระบอบการปกครองอื่นมาเปรียบเทียบได้ ประเทศไทยเราเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นประชาธิปไตยแบบส่งออกเหมือนที่ฝรั่งพยายามยัดเยียดให้ และก็เห็นผลประจักษ์มาแล้วในหลายประเทศที่ใครไหนรับเอาการส่งออกแบบนี้ ในที่สุดแผ่นดินก็เป็นจลาจล ประชาชนก็จะต้องลี้ภัยบ้านแตกสาแหรกขาดให้เห็นกันอยู่ตลอดมาและตำตากันอยู่ในปัจจุบันนี้
ระบอบการปกครองของประเทศไทยของเราคือ ระบอบประชาธิปไตยแบบไทยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเนื่องจากพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงถือธรรมเป็นใหญ่ ทรงเป็นธรรมิกราชา ทรงถือธรรม ทรงเคารพธรรม ทรงปฏิบัติธรรม ทรงประกาศธรรม ราชอาณาจักรนี้จึงมีแสงแห่งธรรมสาดส่องผ่องอำไพ ไม่มีวันที่จะล่มสลายไปได้เลย
ตราบใดที่แผ่นดินนี้มีธรรมอำไพ ตราบนั้นประเทศไทยจะดำรงคงอยู่คู่ฟ้าดินสลาย แต่ถ้าเมื่อใดที่ไร้ธรรม ก็จะเป็นไปดังบทพระราชนิพนธ์ที่ว่า “เมืองใดไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่นอน”
ดังนั้นประชาชนชาวไทยทั้งหลายจึงต้องประณาม ต่อต้าน คัดค้าน การกระทำใดๆ ที่ไม่อยู่ในธรรม ต้องปกปักรักษาให้ธรรมนั้นเจิดจ้าสาดส่องไปทั่วท้องนภาแห่งราชอาณาจักรนี้อยู่เสมอๆ ประชาชนซึ่งเป็นพลังแผ่นดินก็จะร่มเย็นเป็นสุข ประเทศชาติก็จะมีความเจริญรุ่งเรือง
ยุคศิวิไลซ์กำลังมาถึงแล้ว ยุคที่ราชอาณาจักรไทยจะเจิดจ้าด้วยแสงธรรมอำไพ ที่ประเทศมีความมั่นคง ประชาชนมีความมั่งคั่ง สมดังยุทธศาสตร์พระราชทานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 นั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี