การเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทยเราเพิ่งจะผ่านพ้นไป เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา แม้ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจะถูกประกาศในวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 แต่จากผลที่ออกมา ชาวบ้านก็พอจะประเมินกันได้ว่า ใครจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป จากการคาดเดากระบวนการลงคะแนนของสมาชิกรัฐสภา (ทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร)
ส่วนพรรคใดจะเป็นแกนกลางจัดตั้งรัฐบาลผสม จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยหรือข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร นั้นยังขึ้นกับการเจรจาต่อรองกับพรรคต่างๆ รวมทั้งฝีมือในการ “โน้มน้าว” ให้เกิดการแปรพักตร์ของสมาชิกพรรคขั้วตรงข้าม ที่ประสงค์เข้าร่วมรัฐบาลผสม หรือไม่อยากทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูกันต่อไป
โดยพรรคประชาธิปัตย์นั้นดูจะเป็นพรรคเดียว ที่ความเห็นต่างก่อตัวกันในพรรค ซึ่งก็ได้ปรากฏออกมาสู่สาธารณชนมาตั้งแต่ช่วงฤดูการหาเสียงจนถึงวันนี้ว่า มีกลุ่มสมาชิกทั้งหลาย ทั้งที่รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและทั้งที่สอบตก ที่มีความประสงค์แรงกล้าว่า พรรคประชาธิปัตย์จักต้องเข้าร่วมในคณะรัฐบาลผสม ซึ่งจะนำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แห่งพรรคพลังประชารัฐ แล้วก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่อยากจะยืนหยัดกับหลักการ ว่าด้วยการไม่เอาด้วยกับพรรคฝ่ายทหารการเมือง หรือไม่เอาด้วยกับการสืบทอดอำนาจของฝ่ายทหารการเมือง ซึ่งกลุ่มนี้ก็ยังได้มีการประกาศตัวและประกาศจุดยืนอย่างเข้มแข็งแน่ชัดต่อสาธารณชน
ในขณะเดียวกัน ก็มีการพูดจากันทั้งภายในพรรคและการมีถ้อยแถลงกันออกมาว่า การตัดสินใจว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไปทางไหนใน 3 ทาง คือ
1) ร่วมรัฐบาลประยุทธ์
2) ร่วมเป็นฝ่ายค้าน
3) เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง อยู่แบบโดดๆ
แล้ววิพากษ์วิจารณ์ ลงคะแนน ไม่ลงคะแนนในสภาผู้แทนราษฎรเป็นเรื่องๆ ไป คือ เป็นฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลก็ไม่เชิงเป็นฝ่ายค้านก็ไม่เชิง
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้เขียนบทความภายใต้หัวข้อเรื่อง ประชาธิปัตย์จะเป็น “งูเห่า” หรือ “Power Bank” ลงในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับลงวันที่ 8 เมษายนนี้ในหน้าที่ 3 ผมจึงถือวิสาสะเขียนขยายความต่อ หรือที่เรียกว่าขอร่วมแจม (Jam) สนทนาพาทีด้วยอีกคนเกี่ยวกับทิศทางและความเป็นตัวตนของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ผมยังคงอยู่ในฐานะผู้สูงอายุ หรือจะยกตัวขึ้นสักหน่อยว่าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ว่าได้
ผมเองก็มานั่งคิดนอนคิดดูว่า พรรคประชาธิปัตย์ที่ผมสังกัดอยู่ ควรจะเดินไปทางไหนดี โดยพิจารณาผลดีผลเสีย หรือจุดอ่อนจุดแข็งของทั้ง 3 แนวทาง (หรือนัยหนึ่ง ณ ทาง 3 แพร่งนั้น พรรคประชาธิปัตย์จะเลือกไปทางไหนดี) ดังนี้
1) การเข้าร่วมรัฐบาลประยุทธ์ ข้อดีก็คือ จะได้มีโอกาสทำงาน หรือนำนโยบาย หรือเรื่องสัญญิงสัญญากับประชาชนไว้ในช่วงหาเสียงไปทำการ อีกทั้งบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคก็จะได้มีตำแหน่งหน้าที่บ้าง ทั้งในคณะรัฐมนตรี และในคณะกรรมาธิการ หรือตำแหน่งอื่นๆ ของสภาผู้แทนราษฎร อีกทั้งพรรคยังพูดได้ว่า การเข้าร่วมกับรัฐบาลประยุทธ์ เป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องกับการต่อต้านระบอบทักษิณ
แต่การเข้าร่วมกับพรรคทหาร จะถูกจดจำจากผู้สนับสนุนพรรค และคอการเมือง ว่าเป็นการ “กลืนเลือดเพื่อชาติ” และจะเป็นการถูกตีตรารับรองว่า พรรคประชาธิปัตย์ยืนอยู่กับ และอิงอำนาจทหาร เป็นพวกอำนาจนิยมและต่อต้านประชาธิปไตย อีกทั้งพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคประชานิยมและร่วมมือกับธุรกิจรายใหญ่ ซึ่งในการนี้พรรคประชาธิปัตย์จะต้องพิจารณาว่า จะยอมรับและร่วมสังฆกรรมได้หรือ?
2) ในกรณีที่เลือกเข้าร่วมสังฆกรรมกับฝ่ายพรรคเพื่อไทย เป็นแนวร่วมฝ่ายค้าน ในแง่หนึ่งก็เป็นการสะท้อนจุดยืนว่าไม่เอาด้วยกับทหารการเมือง ไม่เอาด้วยกับการสืบทอดอำนาจของฝ่ายทหารในเวทีการเมือง และฉะนั้น เป็นนักประชาธิปไตย
แต่ในอีกแง่หนึ่งพรรคประชาธิปัตย์ก็จะเข้าไปจับมือ หรือสยบให้กับพวกการเมืองทุนนิยมสามานย์ และการเมืองแบบบูชาบุคคลนิยม และละทิ้งการต่อสู้กับพวกที่ทำร้ายระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์ประมุข และพวกโกงกินบ้านเมือง และพวกใช้เสียงข้างมากเป็นเผด็จการ อีกทั้งยังมอมเมาประชาชนส่วนหนึ่งด้วยนโยบายประชานิยมที่เลือกปฏิบัติ แล้วยังมิได้สร้างชีวิตให้ดีขึ้นและมีศักดิ์ศรีอย่างแท้จริง
โดยทั้ง 2 กรณี จะเป็นรัฐบาลประยุทธ์ หรือจะเป็นเพื่อไทยฝ่ายค้าน ก็เป็นเรื่องจะต้องเลือกว่า จะไปเห็นดีเห็นงามกับประชารัฐ หรือประชานิยม ซึ่งเนื้อหานั้นไม่แตกต่างกัน และไม่เป็นเสรีประชาธิปไตยที่พรรคประชาธิปไตยยึดถือยึดมั่นโดยเฉพาะที่ให้คนอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีความเสมอภาคและทัดเทียมกัน
3) ส่วนทางที่ 3 ก็คือ การอยู่แบบโดดเดี่ยว ไม่เป็นฝ่ายรัฐบาลและไม่เป็นฝ่ายค้าน แต่เป็นฝ่ายผู้ตรวจสอบที่เป็นกลาง นั่นคือเป็นผู้เตือนสติสังคม (Voice of Connscience) ให้อยู่ในร่องในรอย ในศีลในธรรม ในความถูกต้อง ในกรอบกฎหมาย
กรณีนี้ พรรคประชาธิปัตย์สามารถตรวจสอบฝ่ายรัฐบาลได้ทุกเมื่อ และคัดค้าน ทัดทานฝ่ายค้านในเรื่องในสิ่งที่เลยเถิดไม่บังควร ในขณะเดียวกัน ก็สามารถสนับสนุนเรื่องที่ดีงามต่อส่วนรวม
และในขณะเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์ก็จะได้มีเวลาทบทวนตนเอง และปรับปรุงตนเอง ปรับกระบวนทัศน์ให้เหมาะสม ทันสมัย ทันเหตุการณ์ ได้มากยิ่งขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ต้องหาความเป็นตัวตน ความเป็นตัวตนที่แท้จริงให้ได้
จากข้อดีข้อเสียดังกล่าว หากถามผมว่า พรรคประชาธิปัตย์ควรเลือกไปในแนวทางใด?
ผมก็มองว่า ทั้งการร่วมรัฐบาลและการร่วมเป็นฝ่ายค้านก็เสมือนการให้เลือกอยู่กับเสือ หรือจระเข้ ซึ่งต่างไม่ดีทั้งสิ้น
ถ้าเลือกได้ ผมอยากให้พรรคประชาธิปัตย์เลือกที่จะเป็นตัวของตัวเอง ยืนอยู่บนอุดมการณ์ที่แท้จริงของตนเอง เป็นมนุษย์ที่ขยัน อดทน ซื่อสัตย์สุจริต เพียงเท่านั้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี