เรื่องความเหลื่อมล้ำ (Inequality) เป็นเรื่องที่พูดกันมากทั้งบนเวทีไทย และเวทีโลก เพราะเป็นเรื่องที่ประจักษ์อยู่อย่างชัดเจน อยู่รอบตัวเรากันทุกคน เป็นเรื่องที่แต่ละคนสัมผัสได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ความหรูหราตามท้องถนน กับสภาพของการหาเช้ากินค่ำในตัวเมือง หรือเจ้าของที่ดินแปลงใหญ่ กับเกษตรกรรายเล็กและเกษตรกรผู้เช่า ไปจนถึงแรงงานเกษตรในชนบท และแรงงานเคลื่อนย้ายไม่เป็นหลักแหล่ง เป็นต้น
ในฤดูการหาเสียงเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2562 ที่เพิ่งผ่านมามีข้อสังเกตว่าพรรคการเมืองต่างไม่มีการเสนอ นโยบาย และมาตรการในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย จะมีบ้างก็เป็นเรื่อง หรือประเด็นประปราย ส่อไปในทิศทางของมาตรการประชานิยมที่รังแต่จะมีการ “ควักกระเป๋า” ใช้เงินภาษีราษฎรแต่อย่างเดียวดูเป็นการมุ่งซื้อใจ ซื้อเสียงเฉพาะหน้า ชนิดไร้ความยั่งยืน เป็นแบบสุกเอาเผากินมากกว่าเท่านั้น
และที่สำคัญก็ยังไม่เห็นพรรคการเมืองใด นักการเมืองใด โยงเรื่องความเหลื่อมล้ำต่างๆ กับเรื่องสิทธิมนุษยชน หรือพูดให้ชัดหน่อย คือการโยงความเหลื่อมล้ำกับเรื่องการ “ละเมิด” สิทธิมนุษยชน
โยงกันอย่างไร ก่อนอื่นก็ต้องกลับไปทบทวนถามว่า เรื่องความเหลื่อมล้ำในชีวิตประจำวันของสังคมหนึ่งใดมีอะไรบ้าง ก็คงไม่ยากที่จะคิดและตอบว่า ความเหลื่อมล้ำ มีทั้ง
- เรื่องรายได้ (Income)
- เรื่องทรัพย์สินมรดก (Wealth)
- เรื่องการได้เข้าถึงซึ่งทรัพยากร (Resources) ทั้งที่ทำกินแหล่งทุน และปัจจัยการผลิต (ทุน น้ำใช้ ไฟฟ้า อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ ปุ๋ย และเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร เทคโนโลยี และองค์ความรู้ต่างๆ เช่น การบริหารจัดการ การใช้การสื่อสารสมัยใหม่ เป็นต้น)
- เรื่องการได้เข้าถึงซึ่งการบริการทางด้านกระบวนการยุติธรรมและการได้รับความยุติธรรม
- เรื่องการเข้าถึงซึ่งการบริการพื้นฐานในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความมั่นคงในชีวิต เช่น การรักษาพยาบาล การศึกษา และที่อยู่อาศัย การสัญจรไปมาประจำวันที่ปลอดภัยและราคาย่อมเยา
รับภาระกันได้
- เรื่องการเข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสาร ไม่ถูกครอบงำ ไม่ถูกกีดกัน ไม่ถูกบิดเบือน
- การนี้เมื่อประชาชนพลเมืองไม่ได้รับการตอบสนอง ไม่ได้รับโอกาสในการเข้าถึง ก็เท่ากับว่า ถูกตัด ถูกลิดรอนสิทธิ หรือนัยหนึ่งสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานได้รับการละเมิด
ประเด็นความเชื่อมโยงระหว่างความเหลื่อมล้ำกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น เป็นเรื่องที่ นางมิเชล บาชาเล (Michelle Bachelet ข้าหลวงใหญ่คณะมนตรีว่าด้วยสิทธิมนุษยชนองค์การสหประชาชาติ) ได้ยกขึ้นมากล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อให้ชาวโลกได้ตระหนักและร่วมมือกันแก้ไข เพราะสังคมโลกและสังคมประเทศหนึ่งใดจักคงอยู่กับความเหลื่อมล้ำมิได้ เพราะเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ไร้มนุษยธรรม และไร้ความห่วงใยและเอื้ออาทรต่อกัน และเป็นช่องทางหรือสาเหตุของการขัดแย้ง ซึ่งมักจะนำไปสู่ความรุนแรงและสังคมไร้เสถียรภาพ
นางมิเชล บาชาเล ยังได้ให้ข้อสังเกตอีกด้วยว่า เมื่อมีการประท้วงเรื่องปากท้อง เรื่องความเหลื่อมล้ำ ฝ่ายรัฐบาลก็มักจะตอบสนองด้วยการจับกุม กุมขัง ทรมาน ประหาร หรือไม่ก็ข่มขู่ สร้างอาณาจักรแห่งความกลัว แทนที่จะมุ่งแก้ปัญหาขั้นพื้นฐาน และบริหารราชการด้วยหลักธรรมาภิบาล
กลับมาที่ประเทศไทยเรา เราได้รับ “เกียรติ” ในเชิงลบว่า เป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงสุดของโลก แซงหน้ารัสเซีย อินเดีย และอินโดนีเซีย จัดเป็นลำดับที่ 1 ของโลก ทั้งที่ไทยเราเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของโลก เป็นประเทศเป้าหมายลำดับต้นๆ ของโลกด้านการท่องเที่ยวที่หลากหลาย ไทยโดยรวมมีความมั่งคั่ง คนไทยโดยทั่วไปมีคุณภาพชีวิตที่ปราศจากการอดอยาก ความร้ายแรงทางธรรมชาติ ความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคม
ผู้คนทั่วโลกอยากมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย เมื่อมาแล้วก็ติดใจกันก็อยากมาอีก บางคนก็ให้เมืองไทยเป็นบ้านที่สอง
แต่ทว่า ความเหลื่อมล้ำของคนรวยไม่ถึง 1% กับคนอื่น 99% แตกต่างกันมากมาย
ความมั่งมีศรีสุขกระจุกตัวในกลุ่มผู้คนไม่กี่ครอบครัว แถมยังมีอิทธิพลต่อเวทีการเมืองอีกด้วย
อำนาจรัฐ อำนาจเงิน อยู่ในกลุ่ม ในมือในเครือข่ายของผู้คนไม่กี่พันกี่หมื่นคน
ภาคประชาชน ภาคชุมชน ภาคชนบท ก็ต่างออกมาเรียกร้อง มาขับเคลื่อนเพื่อการแก้ไขความเหลื่อมล้ำ แต่ถูกมองในแง่ลบจากฝ่ายอำนาจรัฐ และกลุ่มทุนผูกขาด ส่วนฝ่ายพรรคการเมืองทั้งหลายก็ไม่มีหัวใจให้กับผู้ถูกลืม ผู้ตกขอบ ในสังคม ไม่ได้คำนึงถึง ไม่ได้คิดเสียด้วยซ้ำ เพราะมุ่งใฝ่หาแต่อำนาจและเห็นประชาชนพลเมืองเป็นแค่ตัวเลข เป็นฐาน เป็นไหล่ให้เหยียบขึ้นไปสู่ป้อมปราการแห่งอำนาจเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่ายพรรคการเมืองก็เป็นส่วนหนึ่งของการกระจุกตัวของอำนาจรัฐและอำนาจเงินเท่านั้น ก็เท่ากับไปค้ำชูความเหลื่อมล้ำ และความได้เปรียบของกลุ่มคนกระหยิบมือเดียวไม่เป็นมิตรกับคนส่วนใหญ่ แล้วยังทำตนเป็นปฏิปักษ์โดยปริยายอีกด้วย
ก็รอคำตอบจากพรรคการเมือง นักการเมือง โดยเฉพาะรัฐบาลใหม่ว่า จะเอาอย่างไรกับเรื่องความเหลื่อมล้ำนี้
หากคิดไม่ได้ หากไม่คิด หากไม่มีจิตสำนึก การกระโจนเข้ามายังเวทีการเมือง ก็คงถือว่าไม่คู่ควร ถือเป็นเรื่องจอมปลอมทั้งสิ้น
ฉะนั้น การเมืองเพื่อกลุ่มผลประโยชน์คงต้องหันกลับมาเป็นการเมืองเพื่อประชาชน มิฉะนั้นแล้วก็ต้องล้มเลิก ยกเลิก เลิกรา กันไป และระบบตัวแทนต้องทบทวนยกเครื่องกันใหม่ เช่น ให้มีผู้สมัครอิสระ ไม่มีกฎบังคับเรื่องวุฒิการศึกษา หรือเช่น การปรับ แปลง เปลี่ยน การเสนอนโยบายและการตัดสินใจใด รวมทั้งการยกร่างและการออกกฎหมายให้เป็นประชาธิปไตยแบบทางตรงด้วยการลงประชามติให้มาก เท่ากับว่าประชาชนรับผิดชอบตัวเอง ความเหลื่อมล้ำก็จะค่อยจางหายไป
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี