ช่วงพักร้อนสงกรานต์ ผู้คนหันไปพักผ่อนหย่อนใจ หาความสุข หนีร้อนทั้งจากสภาพอากาศและสถานการณ์อึมครึมทางการเมือง ที่ไม่รู้ว่าจะลงเอยที่ตรงไหน อย่างไร
เมื่อวันที่ 14 เม.ย.2562 นายสาธิต ปิตุเตชะ รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองภายหลังเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาล ว่า จะมีฝ่ายที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ส่วนอีกฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าประชาธิปไตยก็จะหาความชอบธรรม และต่อสู้กับฝ่ายผู้มีอำนาจ ซึ่งการดำเนินการของทั้ง 2 ฝ่าย จะทำให้สถานการณ์ของประเทศอยู่ในความอึมครึม ไม่ชัดเจน และไม่เป็นที่น่าไว้วางใจของทุกส่วน ทั้งนานาชาติ นักลงทุน จะมีแต่ความถดถอยของทุกภาคส่วน
ดังนั้น ต้องให้ทุกฝ่ายตั้งสติ และมองเส้นทางเดินของประเทศว่า แนวทางที่จะทำให้ประเทศหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้จะต้องทำอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากฝ่ายผู้มีอำนาจ หากผู้มีอำนาจคิดเพียงสืบทอดอำนาจ ก็จะเป็นปัญหาในระยะยาว ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยที่พูดเพียงสะใจ มุ่งดิสเครดิต แต่ไม่เสนอทางออกอย่างสร้างสรรค์ หวังเอาชนะ ก็จะพาประเทศไปสู่หายนะได้เช่นกัน
เมื่อถามว่า หากฝ่ายผู้มีอำนาจสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้จะเกิดความขัดแย้งอะไรหรือไม่ นายสาธิตกล่าวว่า ถ้าจัดตั้งรัฐบาลได้โดยชอบธรรม ก็น่าจะเดินหน้าได้ในระยะเวลาหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับจำนวนเสียงที่รวบรวมได้ว่ามีเพียงพอต่อการบริหารประเทศหรือไม่ แต่ถ้าผู้มีอำนาจจัดตั้งรัฐบาลโดยวิธีการใช้อำนาจในการทำทุกอย่าง โดยไม่สนใจความถูกต้องหรือใช้วิธีตะแบง ก็จะทำให้เกิดการเผชิญหน้า เกิดความขัดแย้งได้ดังนั้นทางที่ดีควรตั้งหลักและคิดถึงผลประโยชน์ประเทศ หากตัวเองมีความบริสุทธิ์ใจ ก็ควรเคารพกฎหมาย มีความเป็นธรรมและไม่แบ่งแยกประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่ารัฐบาลชุดใหม่จะอยู่ได้นานแค่ไหน นายสาธิต กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการรวบรวมเสียง ถ้าได้ไม่มากพอ อาจอยู่ได้ไม่นาน ซึ่งจะเป็นปัญหากับความเชื่อมั่นของอนาคตประเทศ หรือใช้อำนาจเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ หรือจะกระทำการใด ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าจะได้เสียงกลับมามากหรือไม่
ผมเห็นด้วยกับคุณสาธิตในหลายๆ ประเด็น จะขอพูดทั้งประเด็นที่คุณสาธิตกล่าวไปแล้วและยังไม่ได้กล่าวดังนี้
1) การเมืองหลังสงกรานต์ ความไม่ชัดเจนหลายเรื่องยังรอให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำให้ชัดเจน เช่น การรับรองผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) การให้ใบแดง ใบเหลือง การสั่งเลือกตั้งซ่อมเพิ่มเติม การสั่งนับคะแนนใหม่ หลักการคำนวณจำนวน สส.ระบบบัญชีรายชื่อ และจำนวน สส.บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรค และสองเรื่องที่สำคัญมากๆ คือ กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกร้องเรียนเรื่องการขาดคุณสมบัติ เพราะยังถือครองหุ้นในบริษัทด้านการสื่อสารมวลชน คือวีลัค ที่ กกต.รับไว้พิจารณา เรื่องนี้กกต. จะเร่งพิจารณาหรือจะทอดเวลาให้มันอึมครึมยาวไป กับเรื่องการทุจริตการเลือกตั้งที่พัทลุง ที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติผู้สมัคร สส. พรรคประชาธิปัตย์มาร้องเรียนไว้ พร้อมหลักฐานและพยาน ซึ่งต้องการการคุ้มครองด้วย หาก กกต. ยังไม่สร้างความชัดเจนให้แก่เรื่องเหล่านี้ ก็ยากที่จะสันนิษฐานสภาพการณ์ทางการเมืองหลังจากนั้นให้แน่ชัดได้
2) อย่างไรก็ดี กฎหมายให้เวลา กกต. ถึง 60 วัน หลังวันเลือกตั้ง เพื่อประกาศรับรอง สส. ให้ได้อย่างน้อย 95% เพื่อนำไปสู่การเปิดประชุมสภา คำถามก็ กกต. จะสามารถรับรองได้ 95% หรือจะต้องไปถึง 100% เพื่อจบปัญหาเรื่อง “คะแนนรวม” และการรับรองรายชื่อ สส. ในระบบบัญชีรายชื่อ หรือในระบบบัญชีรายชื่อจบได้ แต่เก็บ สส.เขตบางส่วน โดยเฉพาะของ “บางพรรค” ไว้ก่อน เพื่อไม่สามารถเข้าประชุมและโหวต “เลือกประธานสภา” และ “เลือกนายกรัฐมนตรี” ในสภาได้ หากรูปการณ์ออกมาเช่นนั้นการเมืองจะวุ่นวายเพียงใด หรือท้ายสุด กกต. จะใช้วิธีรับรองไปก่อนแล้ว “สอย” ทีหลัง” ซึ่งก็มีคำถามอีกว่า สอยใคร ฝ่ายไหน มีผลกระทบต่อความชอบธรรมในการเป็นรัฐบาลเพียงใดเพราะเสียงของ “2 ขั้ว” มันปริ่มๆ น้ำ ใกล้กันเอามากๆ
3) ดูเหมือนว่า คสช. รอดูหน้า สส. ก่อนจะประกาศรายชื่อ สว. ที่หัวหน้า คสช. จะเป็นคนลงนามประกาศ กระบวนการคัดเลือก คสช. ในทุกกลุ่ม ซึ่งขณะนี้ หน้าตา สส.ก็พอเห็นเลาๆ แล้ว แล้วหน้าตา สว.ล่ะ จะออกมาอย่างไร ทหารกี่คน ตำรวจกี่คน ข้าราชการกี่คน ตัวแทนกลุ่มทุนที่ถูกจับตาว่าเป็นพวก “สานพลังประชารัฐ” จะมีอย่างละกี่คน และพวก “แม่น้ำทั้งห้าสาย” บวกกับน้ำลายแผล็บๆ ที่เลีย คสช. อย่างเอิกเกริกก่อนหน้านี้จะเข้าวินกี่คนซึ่งแน่นอนว่า ไม่ว่าจะออกมาอย่างไร ก็จะต้องมีจำนวนหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ สื่อและนักวิจารณ์การเมืองในพรรคและสำนักต่างๆ ก็จะ “จำแนก”ขั้ว-ข้าง จุดยืน ปูมหลัง ที่มา ออกมาให้วิจารณ์กันเป็นที่สนุกปากแล้วการ “ตอบโต้” ก็จะมีขึ้น ส่วน “การหงุดหงิด” ของหัวหน้า คสช. จะมากหรือน้อยเพียงใด ไม่อาจคาดเดาได้ อย่างไรก็ดี บรรยากาศทางการเมืองในช่วงประกาศรายชื่อ สว.นั้น ยากที่จะสงบเงียบ ราบเรียบอย่างแน่นอน
4) ถึงเวลานั้น พรรคที่ถูกตั้งคำถามมาตลอดว่าจะยืนอยู่จุดไหน ระหว่างเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือเลือกจะเป็น “ฝ่ายค้านสร้างสรรค์-ฝ่ายค้านอิสระ” อย่างพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะต้องให้คำตอบที่ชัดเจนขึ้น พร้อมกับเหตุผลประกอบการตัดสินใจเช่นนั้นซึ่งไม่ว่าประชาธิปัตย์จะตัดสินใจอย่างไร ก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงทั้งขึ้นทั้งล่อง เช่น หากเลือกเป็นฝ่ายค้านอิสระ ยุทธวิธีแบบที่ถูกใช้ในช่วงวันและคืนก่อนการเลือกตั้งก็จะเกิดขึ้น คือ การกดดัน ด่าทอ ตีตรา ว่าประชาธิปัตย์ไม่เห็นแก่ประเทศชาติที่ตกอยู่ในความสุ่มเสี่ยงทางการเมือง ที่อีกฝ่ายจ้องจะบ่อนเซาะทำลาย ทุกสถาบันสำคัญของประเทศชาติ
มัวแต่กอดอุดมการณ์ ไม่คิดจะช่วยปกป้องบ้างเลยหรือ เกมนี้ถูกเล่นแน่ และเป็นประเด็นที่หลายคนในพรรคประชาธิปัตย์ก็ “ใช้เล่นกันเอง” อยู่ภายในพรรคเวลานี้ ยังไม่ร่วมประเด็นที่ว่า “เข้าร่วมรัฐบาลจะได้มีโอกาสสร้างผลงานให้ประชาชนเห็น แล้วเขาจะได้กลับมาเลือกพรรคประชาธิปัตย์ใหม่” ประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจที่เกิดมาปีสองปี แต่เพิ่งจะฉลองครบ 73 ปีไป เคยเห็นไหมครับ ว่าพรรคร่วมรัฐบาลพรรคใด มีโอกาสได้ “อ้างผลงาน” และประชาชน “จดจำ” จนหันมาเกิดกระแสเลือกพรรคนั้นๆ ขนาดเคยเป็นรัฐบาลแล้วคนยังไม่จำผลงานเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นต้องตั้งสติกับเกมนี้ให้ดีครั้นเลือกเข้าร่วมรัฐบาล ก็จะมีอีกพวกมาโจมตีว่า “ตระบัดสัตย์-เล่นการเมืองหลายหน้า” ซึ่งแน่นอนว่า คนกลุ่มนี้ จำนวนหนึ่งคาดหวังให้ประชาธิปัตย์ยืนหยัดหลักการประชาธิปไตย จำนวนหนึ่งแค่อยากด่าประชาธิปัตย์เท่านั้นแหละ และไม่ว่าจะมีมากน้อยเพียงใดในกลุ่มนี้ ที่เห็นดีด้วยว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีหลักการ อุดมการณ์ มีจุดยืนทางการเมือง แต่พวกเขาก็ไม่เคย “มีใจ” ที่จะเลือกประชาธิปัตย์เป็นตัวแทนของเขาเลย
5) ในสภาพการณ์ที่สมาชิกจำนวนหนึ่ง “เสียขวัญ”จากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาแล้ว และอาจจะต้องมา“เสียสติ” กับเสียงวิจารณ์ในวันนั้น จนอาจถึงขั้น “พรรคแตก” ออกเป็นสองแนวทางจนยากจะอยู่ร่วมเป็นพรรคเดียวกันต่อไป จะเกิดขึ้นหรือไม่ จะเกิดขึ้นในรูปแบบใด เป็นเรื่องที่ต้องจับตาตั้งแต่ว่า ใคร-ในประชาธิปัตย์จะเป็นฝ่าย “กุมสภาพ” ภายในพรรค ใครจะขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค และเป็นกรรมการบริหารพรรค เสียงของ สส.สอบได้ กับเสียงของ สส.สอบตก แต่นำคะแนนมาให้แก่ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์จะจัดลำดับความสำคัญอย่างไร เช่นกันกับเสียงผู้เลือก 3.9 ล้านเสียง จะถูกตีความว่าอะไร ยังไม่รวม “ประวัติศาสตร์ที่เคยสร้าง” ว่าประชาธิปัตย์เป็นพรรคเดียวที่เปิดให้สมาชิกพรรคได้ “เลือกหัวหน้าพรรค” เพียงพรรคเดียว จะถูกรักษาไว้ต่อไปหรือไม่ ก็เป็นการเมืองที่น่าติดตาม
6) พรรคเศรษฐกิจใหม่ของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ก็เช่นเดียวกัน รอวัน “ชัดเจน” ท่ามกลางข่าวลือสารพัด แต่ไม่ว่านายมิ่งขวัญจะเลือกอย่างไร แม้เลือกเข้าร่วมกับพลังประชารัฐ ผลกระทบในระยะยาวก็ไม่ได้มากมายเท่ากับประชาธิปัตย์อย่างแน่นอน
7) ปัญหาความอึมครึม-สุ่มเสี่ยง หาความสงบได้ยากทางการเมืองของเรา เกิดขึ้นเพราะ
7.1 กติกาที่เขียนมาบนความกลัว จนต้องทำให้เขียนกติกาเพื่อป้องกัน-กีดกันบางพวก หรือบนความหวังว่าจะช่วยให้บางพวกชนะอีกพวก คือต้นตอของความขัดแย้งอย่างรุนแรงในวันนี้ เพราะกติกาไม่ทำให้คนหยุด เพราะเคารพในกติกานั้น แถมถูกมองว่าเป็นกติกาที่สร้างหนทางในการ “สืบทอดอำนาจ” ให้บางคน บางพวกด้วย กติกาจึงไม่ขลังพอที่จะหยุดความขัดแย้ง สร้างการยอมรับ
7.2 ภาวะที่ถูกทำให้เชื่อว่า “แพ้ไม่ได้” ของทั้งสองฝ่าย คือ ความน่ากลัวที่สุด เพราะจะไม่มีใคร “ยอมยุติ” หรือยอมรับหลักเกณฑ์หรือการวินิจฉัยใดๆ ทั้งสิ้น
7.3 การทำให้อีกฝ่ายอยู่ในสภาพ “ภัยต่อบ้านเมือง”เช่น เป็นผู้สืบทอดความเป็นปีศาจทักษิณ โกง เผาบ้านเผาเมือง และเป็นภัยต่อสถาบัน หรือเป็นเผด็จการ มันคิดจะสืบทอดอำนาจ กินรวบอำนาจ ไม่มีประชาธิปไตย คนไม่เท่ากันเป็นปัญหาชนชั้น ที่ต้องจัดการให้ไปถึงความเท่าเทียม ไอ้ที่สุ่มเสี่ยงสุดๆ คือการหาเสียงด้วยคำว่า “มาช่วยกันสานต่อภารกิจ 2475 ที่ยังไม่จบ ให้จบ” เมื่อความคิดคนหรือ “โจทย์ทางการเมือง” ถูกผลักดันมาถึงความ “สุดโต่ง” เช่นนี้แล้วทางถอยจะมีไหม หรือต้องเผชิญหน้า ปะทะกันจนกว่าจะเห็นดำเห็นแดง บ้านเมืองเหลือแค่ 2 ขั้ว 2 ข้าง จนไม่มีทางที่ 3 4 หรือ 5 อีกแล้วหรือ
7.4 ความรุนแรง โกรธ เกลียด ชิงชัง รบรา เผชิญหน้าไม่แลกเปลี่ยน ไม่รับฟัง ที่ถูกผลิตและส่งต่อผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เป็น “เชื้อไฟ” อย่างดี ที่คนในประเทศนี้พร้อมที่จะลุกขึ้นเผชิญหน้ากันได้อย่างรุนแรงหนักหน่วง เป็นสงครามย่อยๆ เสมือนการ “ซ้อมรบ” ก่อนไป “รบจริง” กัน ซึ่งเป็นวันไหนก็ได้ทั้งนั้น หากสภาพอารมณ์ของคนยังถูกหล่อเลี้ยงไว้เช่นนี้ ไม่มีการคลี่คลาย
7.5 กองทัพออกมาฮึ่มๆ กับฝ่ายการเมือง ทำให้เราสูญเสีย “คนกลาง” ที่จะระงับเหตุ ระงับปัญหา และในเวลาเดียวกัน อีกฝ่ายก็ “ยั่วยุ” กองทัพ ให้แสดงบทนี้อยู่ตลอดเวลา หนักหนากว่านั้น คือการนำคำว่า “จงรักภักดี-ไม่จงรักภักดี” มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างไม่ระมัดระวัง สองสิ่งนี้คือ “ความเปราะบาง” ในใจคน ที่หากใช้ได้ดีบ้านเมืองก็ดีสุดๆ หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง บ้านเมืองก็น่ากลัวสุดๆ เช่นเดียวกัน
การเมืองหลังสงกรานต์และการเมืองในอนาคตจะเป็นอย่างไร อยู่ที่การครองสติและมีเหตุมีผล ลดความสุดโต่ง ลดการปะทะกันของคนในชาติ
“เลือกความสงบ จบที่ลุงตู่” จะเป็นความจริงหรือแค่การโฆษณาชวนเชื่อเพื่อชนะเลือกตั้ง ไม่นาน เราคงได้เห็นคำตอบกันแน่ๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี