l ถ้าคุณรู้สึกว่า คุณกำลังอยู่ในหลุมดำ อย่ายอมแพ้ มันมีทางออกศ.สตีเฟน ฮอว์คิง
l เจี๊ยบ & โจ๊ก ลูกรัก
วันนี้ พ่อจะพูดถึง แนวความคิดทางวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก 2 คนแน่นอน ต้องเกี่ยวข้องกับประเทศไทยที่พ่อเกิดและรักที่สุดในชีวิตและเป็นเรื่องสำคัญ ที่เกี่ยวข้องการแสวงหา “ทางออกของสังคมไทย”
1.เมื่อพูดถึง “ทางออกของประเทศไทย” มีหลากหลายความคิดของนักการเมือง นักวิชาการ และนักทฤษฎี มันไม่มีทางออกอื่น นอกจาก “ประชาธิปไตยการเลือกตั้งในระบบรัฐสภา ที่ไทยนำเข้ามาจากตะวันตก” แต่ “มันต้องใช้เวลา คนไทยต้องอดทนรอ แล้วมันจะมาถึง อย่างประเทศตะวันตก เขาเป็นแบบอย่าง” มันไปไม่ถึงเพราะ “มีการทำรัฐประหารของทหาร” ถ้าไม่มี ป่านนี้ไทยเรามีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แล้ว แต่เมื่อมีนักวิชาการผู้รู้ ที่ได้ศึกษา “ประชาธิปไตยทั่วโลกมาอย่างลึกซึ้ง” บอกว่า “ตะวันตก ก็มีปัญหา” นักเลือกตั้ง นักวิชาการ ก็อ้างความคิดที่ลอกมาว่า “อย่างไรก็ดี ประชาธิปไตยเป็นระบอบที่เลวน้อยที่สุด” และเมื่อจนแต้มจนตรอก ก็โมเมว่า “สังคมไทยมีวงจรอุบาทว์ เป็นหลุมดำ ที่ไม่มีใคร สามารถออกไปได้”
uพ่อจึงขอ ยกคำกล่าวของ ศ.สตีเฟน ฮอว์คิง ที่ขยายความจริง เกี่ยวกับ “หลุมดำ” ของจักรวาลโดยกล่าวว่า “หลุมดำ” มีความอัศจรรย์ยิ่ง แต่มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่พวกเราเคยคิด “การบรรยายนี้ ต้องการบอกว่า หลุมดำไม่ได้ดำอย่างที่มันถูกวาดภาพไว้ พวกมันไม่ใช่เรือนจำชั่วนิรันดร์อย่างที่มีคนเคยคิดไว้ สิ่งต่างๆ ออกมาจากหลุมดำได้ ทั้งออกมาด้านนอกหลุมดำ หรืออาจจะไปยังอีกจักรวาลหนึ่ง ดังนั้น ถ้าคุณรู้สึกว่า คุณกำลังอยู่ในหลุมดำ อย่ายอมแพ้ มันมีทางออก”
โดยสรุป : แม้แต่ “หลุมดำ” ของจักรวาลที่ลี้ลับมหัศจรรย์ที่สุดของจักรวาล ก็มีทางออกและ “พ่อ” จะขอล้อเลียนคำพูดว่า “หลุมดำหรือถ้ำวงจรอุบาทว์ ของไทย ก็มีทางออก”
2.ปัญหา ทำไม “นักการเมืองนักเลือกตั้ง นักวิชาการและผู้นำไทย จึงหาทางออกไม่เจอความจริง” ต้องยอมรับว่า “มีพรรคการเมือง นักการเมือง นักวิชาการ” ที่ดีส่วนหนึ่ง พยายามคิดและทำแต่ทำไปแล้ว บางครั้งดูเหมือนดีขึ้น ใกล้แล้ว “ขอโอกาสอีกครั้ง” แล้ว “เมื่อมีโอกาส” ก็ทำไม่ได้ และดูเหมือน “เมื่อเวลาผ่านไป นับวันยิ่งยากขึ้น มีทางออกน้อยมีทางตันมากขึ้น” โดยเฉพาะ หลังจากยุคนายกฯทักษิณ ที่นำเสนอหลักคิด ที่ อ.ธีรยุทธ บุญมี ขนานนามว่า “ทักษิโณมิกส์” หรือ ที่ถูกเรียกว่า “ระบอบทุนสามานย์” ยุคทุนใหญ่ ที่ประสบความร่ำรวยมหาศาลจาก “ทุนสัมปทาน”แล้ว เข้ามาลงเล่นการเมืองเต็มตัว ตั้งแต่ ปี 2544 โดยใช้การจัดการอย่างเป็นระบบและกระบวนการ “ทุน+พรรคการเมือง+ซื้อเสียงซื้อพรรค สส. สว.+ข้าราชการ+กุมสื่อ+นักวิชาการ+มวลชน+ต่างชาติ”ในขณะที่พรรคการเมือง นักการเมืองอื่น แม้แต่ผู้นำรัฐ (นายกฯ ทหาร พลเรือน) ไม่เข้มแข็งและเด็ดขาดสร้าง“พื้นฐานทางการเมือง - มวลชน ถอนตัวไม่ขึ้น จากระบบอุปถัมภ์ นโยบายประชานิยมต่อเนื่อง” นักประชาธิปไตย ที่ติดในกรอบเก่า จึงรู้สึกว่า “ไม่สามารถจะแก้ไข ออกจากถ้ำหรือหลุมดำไม่ได้”
uพ่อ จึงขอ ยกคำกล่าวของ ไอน์สไตน์ มา http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2012/09/Y12665033/Y12665033-26.jpg
“ถ้าเราไม่เปลี่ยนแบบแผนความคิดของเราเราก็ไม่สามารถแก้ปัญหา ที่เราสร้างขึ้นจากแบบแผนความคิดนั้นได้” (ไอน์สไตน์)
สรุป : คนเหล่านี้ มักใช้ “กรอบคิด วิธีเดิม” แก้ปัญหาที่มีอยู่ แม้แก้ไม่ได้ ก็ยังคงใช้วิธีเดิม
3.ทำไม ? เพราะอะไร ที่พรรคการเมือง นักเลือกตั้ง นักวิชาการ คอลัมนิสต์ฯ จึงใช้วิธีเดิม, เพราะว่า :
1) พวกเขา ใช้กรอบคิดเดิม เพราะ “เขาคิดได้แค่นั้น”ไม่สนใจเสนอ “กรอบความคิดใหม่” เพราะ “ความคิดใหม่”มันยาก ทั้งการคิด และการปฏิบัติ รวมทั้งทำแล้วเกิดปัญหาแก่ตน
2) อีกประเด็นที่สำคัญยิ่ง ที่พวกเขา “ปิดไว้มิด ซ่อนเร้นไว้” ไม่ให้ใครรู้ เพราะ “พวกเขาได้ประโยชน์” ไม่ใช่ “ประชาชน และประเทศชาติ” ตามที่เขาอ้าง
พวกเขา ได้ใช้ระบบเลือกตั้งนี้ เป็นเส้นทางปูไปสู่การเป็น สส. สว. รมต. นายกรัฐมนตรี
พวกเขา ได้ความมั่งคั่ง ยกฐานะทางการเงิน สังคม ความมีหน้ามีตา มีชื่อเสียง ความโด่งดัง
พวกเขา ใช้เป็นเครื่องมือ ในการหาผลประโยชน์จากข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ
พวกเขา ใช้เป็นกลไกในการคอร์รัปชั่นโกงขึ้น การใช้อำนาจมิชอบ การแก้กฎหมายฯ
สรุป : ผู้ที่ได้ประโยชน์จากระบบเลือกตั้ง ไม่ต้องแก้ไข เขาก็ได้กอบโกยความมั่งคั่ง แล้วจะคิดแก้ทำไม
4.มาถอดเปลือก หรือแก้ผ้า พรรคการเมือง นักเลือกตั้ง จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา
1) พรรคที่ได้เสียงมาก มักจะเป็นพรรคเก่าที่เคยเป็นรัฐบาล หรือพรรคใหม่ ที่มีการใช้ทุน สื่อ มหาศาลฯ
2) บางพรรคใหม่ อ้างว่า ไม่ซื้อเสียง แต่หมดค่าจ้างทีมสื่อมืออาชีพในนอก หมดไปไม่น้อยกว่า “พันล้าน”แต่คะแนนเสียงที่ได้จากชาวบ้านเขตรอบนอก โดยพรรคหนึ่ง มิใช่น้อย, ถาม : ใครจ่าย
3) พรรคใหญ่กลาง ที่ได้เสียงมาก ใช้ทุน สื่อ กลไกรัฐ (ทั้งปัจจุบันและอดีต) มวลชน จำนวนมหาศาลอยากรู้ว่า เท่าไหร : ช่วยเอาเสียงที่ได้รับ คูณจำนวนเงินขั้นต่ำ 500-1,000 บาท/เสียง
(พรรคเล็ก พรรคกลาง : ใช้ไปขั้นต่ำ 500, พรรคใหญ่ 1,000) : พรรคใหญ่ มีการจัดการมากกว่า
พรรคที่ได้ 8,000,000 เสียง ใช้ประมาณ 8,000 ล้าน
พรรคที่ได้ 6,000,000 เสียง ใช้ประมาณ 3,000 ล้าน
พรรคที่ได้ 3,000,000 เสียง ใช้ประมาณ 1,500-3,000 ล้าน
พรรคที่ได้ 500,000 เสียง ใช้ไปประมาณ 250-500 ล้าน
@ หาก กกต. จัดการอย่างเด็ดขาด : เงินรายรับ และรายจ่าย หลายพรรคจะโดนยุบ เพราะทำผิดกฎหมาย
4) รายจ่ายในการหาเสียง กฎหมายกำหนด 35 ล้าน (พรรค) 1.5 ล้าน/คน
5) พรรคทั้งหมด ยกเว้น 2 พรรค ไม่แถลงที่มาของรายได้, หาเอง หรือเป็นนอมินีของใคร
(ข้อนี้ จะตอบคำถามว่า “พรรคการเมืองบางพรรค” จะสังกัดฝ่ายใด น่ะ, เจ๊)
5.โดยสรุป จะเห็นแจ้งประจักษ์ ว่า “พรรคที่ได้เป็นรัฐบาล” ได้มาอย่างไร และทำไม ต้องไปถอนทุนแล้วจะแก้ปัญหา หาทางออกให้กับสังคมไทยได้ไหม หากยังใช้ระบบการเลือกตั้งแบบนี้
6.ประสบการณ์ของทุกประเทศ ที่อยู่ในภาวะมีความเหลื่อมล้ำสูง ประชาชนขาดคุณภาพต้องใช้ รัฐธรรมนูญ ที่เสริมคนดี และขจัดคนไม่ดี โดยให้อำนาจที่เป็นธรรมแก่ผู้นำที่เป็นรัฐบุรุษประชาชน ที่ติดอยู่ในถ้ำและหลุมดำ ต้องออกมาสนับสนุนผู้นำใหม่ ให้ใช้อำนาจเด็ดขาด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี