ค่ำคืนวันพุธที่ ١٠ เมษายน ได้มีโอกาสชมรายการโทรทัศน์ช่อง ٣(ช่อง ไทยพีบีเอส) ซึ่งเสนอสารคดีประวัติศาสตร์การเมืองของไทย หลัง พ.ศ. ٢٤٧٥ จนถึงปัจจุบัน เป็นการตัดต่อสาระสำคัญของเหตุการณ์ทางการเมือง ที่มีอาจารย์ทางรัฐศาสตร์ - ประวัติศาสตร์หลายท่านจากหลายสถาบันการศึกษา ได้ช่วยกันอธิบายอย่างกะทัดรัด และได้ใจความเหมาะสมกับเวลา ซึ่งต้องขอชมเชยความพยายามของช่อง ٣ (ช่อง ไทยพีบีเอส) ที่จะให้การศึกษาแก่สังคมไทยในประเด็นปัญหาที่สำคัญของชาติ
ด้วยเวลาที่จำกัด ผู้จัดรายการคงไม่สามารถวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งไปกว่าการนำเสนอเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง จาก พ.ศ. ٢٤٧٥ ถึงปัจจุบัน แต่ถ้าหากได้เชิญนักรัฐศาสตร์ - นักประวัติศาสตร์ ให้มานั่งเสวนาวิเคราะห์ปัญหาหลักของเส้นทางประชาธิปไตยไทย ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะต้องเสนอติดต่อกันหลายๆ ครั้ง ก็น่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาการเมืองการปกครองของสังคมไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้
ในขณะเดียวกัน ผู้เขียนก็เผอิญได้หนังสือเล่มสำคัญจากศูนย์สิริกิติ์ เรื่อง “٢٤٧٥ : เส้นทางคนแพ้” ผู้เขียน คือ “บัญชร ชวาลศิลป์” เป็นหนังสือที่เล่าเรื่อง “٤ ทหารเสือ” ที่ก่อการปฏิวัติ พ.ศ. ٢٤٧٥ และชะตากรรมของเขาเหล่านั้น เป็นหนังสือที่มีความสำคัญต่อการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองไทยในช่วงวิกฤติที่สำคัญของชาติ ซึ่งนักประวัติศาสตร์/รัฐศาสตร์จะขาดเสียมิได้
การที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาการเมืองการปกครองของไทยช่วงตั้งแต่ พ.ศ. ٢٤٧٥ ถึงปัจจุบัน ควรจะต้องศึกษาในแนวกว้างและแนวลึก จะต้องศึกษาปรัชญาการเมืองสมัยกรีก (เพลโต และอริสโตเติล) จะต้องศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองของอังกฤษ ทั้งเหตุการณ์สมัยที่ขุนนางบีบบังคับให้กษัตริย์ทรงยอมรับ “Magna Carta” (รัฐธรรมนูญฉบับแรกของอังกฤษ) จนกระทั่งถึงการปฏิรูปทางศาสนา และสงครามกลางเมืองกลางคริสต์ศตวรรษที่ ١٧ และการปฏิวัติของขุนนาง ค.ศ. ١٦٨٨ และการเมืองในรัฐสภาตลอดศตวรรษที่ ١٨-١٩ จึงจะเข้าใจระบอบการปกครองแบบรัฐสภาของอังกฤษ
ควบคู่ไปกับอังกฤษ ก็จะต้องเข้าใจระบอบการเมืองของสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มต้น “ต่อต้าน” ระบอบประชาธิปไตย แต่ลินคอล์น ในสงครามกลางเมือง ได้ชูธงหลักการประชาธิปไตยที่รัฐบาลเป็นของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชน จึงกลายเป็นคำขวัญข้ามชาติ ข้ามกาลเวลา
ที่สำคัญ จะขาดเสียมิได้ ก็คือ การศึกษา สาเหตุของการปฏิวัติในฝรั่งเศส ค.ศ. ١٧٨٩ และเส้นทางวิบากของการเมืองฝรั่งเศสตลอดช่วงเวลาในคริสต์ศตวรรษที่ ١٩-٢٠ จนกระทั่งได้พบตนเองใน ค.ศ. ١٩٥٨ ลงเอยด้วยรัฐธรรมนูญ ชาร์ล เดอ โกล (١٩٥٨)
นักประวัติศาสตร์-รัฐศาสตร์ไทย จะไม่ได้บทเรียนจากการศึกษาเปรียบเทียบดังกล่าว บ้างหรือ? ทำไมประชาธิปไตยไทยจึงย่ำเท้าอยู่กับที่ ชาวไทย นักวิชาการ นักคิด นักการเมืองไม่เรียนรู้อะไรบ้างหรือ? ในฐานะคร่ำหวอดมาในวงการศึกษา ก็ต้องตำหนิกระบวนการเรียนการสอนของไทย และระบบการศึกษาไทย ขณะเดียวกัน ก็คงจะต้องวิพากษ์วิจารณ์การเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา เพราะระดับนี้เป็นระดับของการสร้าง “หัวกะทิ” และสร้าง “ผู้นำ” ทางความคิดของผู้คนในสังคม
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คงมิใช่เวลาที่จะมาตามหา “คนผิด” เราทุกคนก็ร่วมรับผิดชอบกันทั้งนั้น ฉะนั้น ควรหันหน้ามาช่วยกันคิดหาหนทางออก ซึ่งคงไม่มีหนทางเดียว คงหลากหลายวิธี
ชาวกรีกแต่โบราณคุ้นเคยกับระบบการปกครองแบบนครรัฐ และมีนครรัฐแบบสปาร์ตา (Sparta) ที่คนส่วนน้อยผู้เก่งกล้าสามารถ เป็นผู้ปกครอง เรียกว่า ระบบกษัตริย์ หรือบางแห่ง ก็คือ ระบบขุนนางปกครอง ที่เรียก อภิชนาธิปไตย แต่นครรัฐเอเธนส์ เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย มีระบบรัฐสภาของประชาชน และเลือกตั้งคณะผู้บริหาร
เมื่อวันเวลาผ่านไป อีกทั้งเกิดสงครามระหว่าง “ค่ายประชาธิปไตย” กับ “ค่ายระบบกษัตริย์ - ขุนนาง” ทำให้อ่อนกำลังทั้งสองระบบ นักปราชญ์ราชบัณฑิตจึงต้องกลับมาขบคิดว่าจะปรับเปลี่ยนระบบการปกครองของตนอย่างไร? ในที่สุด ทั้งอริสโตเติล และ เพลโต ก็ได้ข้อสรุปว่า ทุกๆ ระบบมีปัญหาทั้งนั้น จำเป็นต้องเป็น ระบบผสมผสาน ทั้งระบบกษัตริย์ ขุนนางและประชาธิปไตย (รายละเอียดคงต้องอธิบายต่อไป)
สำหรับอังกฤษ เป็นชนชาติที่อาศัยอยู่บนเกาะ นักมานุษยวิทยาจึงมักกล่าวว่า เป็นชนชาติที่มักต่อต้านผู้คนชาติอื่น และเนื่องจากสภาพอากาศหนาวจัดจึงไม่มีเวลามาเพ้อฝันถึงปรัชญาของชีวิตเช่น ชาวเมดิเตอร์เรเนียน ชนชาติญี่ปุ่นก็มีอุปนิสัยคล้ายๆ กันนี้จึงจัดไว้ว่าเป็นนักปฏิบัตินิยม อะไรที่ทำแล้วได้ผลก็ยึดถือไว้เป็นแนวทาง
อังกฤษ คุ้นเคยกับระบบรัฐสภา ที่ขุนนางมีอิทธิพลสูง เป็นองค์กรที่วิวัฒนาการมาตามลำดับตั้งแต่เริ่มต้นที่มหากฎบัตร - Magna Carta (ค.ศ. ١٢١٥) กษัตริย์ทรงยินยอมจะปรึกษาหารือกับสภาฐานันดร (สภาขุนนาง-พระ) ในเรื่องการเก็บภาษี และต่อมาก็ขยายขอบเขตมาถึงเรื่องการออกกฎหมาย แม้กระทั่งการปฏิรูปศาสนาในคริสต์ศตวรรษที่ ١٦ และต่อมา เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง เรื่องศาสนา ก็เกิดการปฏิวัติของขุนนาง (ครั้งสุดท้าย) ค.ศ. ١٦٨٨ ทำให้ขุนนางเป็นใหญ่ในราชอาณาจักร แต่ก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งระบบกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจใน การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
ความสมดุลของอำนาจจึงเกิดขึ้นภายหลังการปฏิวัติ ค.ศ ١٦٨٨ซึ่งกำหนดอำนาจของรัฐสภาทางด้านการเก็บภาษี และการออกกฎหมายแต่กษัตริย์ยังคงมีอำนาจเลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ซึ่งมักจะเป็นขุนนางจากวุฒิสภา
ข้อตกลง ค.ศ. ١٦٨٨-١٦٨٩ จึงเป็นข้อตกลงที่สร้างความสมดุลระหว่างระบบกษัตริย์กับอำนาจของขุนนาง และรูปแบบนี้ ประเทศญี่ปุ่นสมัยการปฏิรูปเมจิ ค.ศ. ١٨٨٩ (หรือ พ.ศ. ٢٤٣٢-สมัย ร.٥) ก็นำเอาไปเป็นส่วนสำคัญของการปฏิรูป คือ มอบอำนาจการแต่งตั้งรัฐมนตรีให้แก่องค์จักรพรรดิ มอบอำนาจให้แก่ประชาชนเลือกสภานิติบัญญัติ
แตกต่างจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ٢٤٧٥ที่ไม่เหลืออะไรให้องค์พระมหากษัตริย์ได้มีบทบาทอย่างแท้จริงการคัดเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็คือผู้กุมอำนาจทางทหารขณะนั้น และหลัง พ.ศ. ٢٤٧٦ (หลังกบฏบวรเดช) พันโท(เอก) พิบูลสงคราม คือผู้ถืออำนาจที่แท้จริง (ดูหนังสือ ٢٤٧٥ :เส้นทางคนแพ้)
ฉะนั้น หลังจากที่ พ.อ.พระยาพหลฯ ลาออก (เป็นครั้งที่ ٣)จากการเป็นนายกรัฐมนตรี พ.ศ. ٢٤٨١ ก็มีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และ พันเอกหลวงพิบูลสงคราม ก็ได้รับการคัดเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี มูลเหตุสำคัญอ้างว่า เพื่อความมั่นคงของประเทศ เมล็ดพันธุ์ของระบบการปกครองโดยอาศัยอำนาจทางทหารก็เริ่มตั้งเค้ามาจากสมัยนั้น แต่มาสำแดงฤทธิ์ ใน พ.ศ. ٢٤٩٠ เมื่อคณะรัฐประหาร นำโดย พลโทผิน ชุณหะวัณ เข้ายึดอำนาจวันที่٨ พฤศจิกายน จากคณะรัฐบาลพลเรือนของ ดร.ปรีดี พนมยงค์และนาวาเอก หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ และต่อมาภายหลังการเลือกตั้งคณะนายทหารก็ยึดอำนาจอีกครั้งจากรัฐบาล ซึ่งนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ٦ เมษายน พ.ศ. ٢٤٩١ และจัดตั้งรัฐบาลทหาร โดยมี จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และจะอยู่ในตำแหน่งนี้ไปจนกระทั่ง พ.ศ. ٢٥٠٠ (ระหว่างนี้มีการรัฐประหารอีก ٣ ครั้งที่ไม่สำเร็จ) เป็นการเปิดศักราชของระบบการปกครองโดยการยึดอำนาจทางทหาร ซึ่งยังคงดำรงอยู่จนกระทั่งถึงบัดนี้
ความผิดพลาดเกิดจากปัจจัยใด นักวิชาการควรจะต้องทำใจให้เป็นกลาง และศึกษาอดีต เพื่ออนาคตที่ดีกว่า พิจารณาตามเนื้อผ้าอาจจะสรุปว่าไม่ควรเลือกเส้นทางที่ใช้อาวุธเพื่อเรียกร้องระบอบใหม่ควรเป็นการเจรจาต่อรอง แต่ประวัติศาสตร์ไทยก็ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น หรืออังกฤษ วัฒนธรรมทางการเมืองของไทยแต่อดีต ก็เป็นวัฒนธรรมของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บทบาทของขุนนางก็แตกต่างจากขุนนางในเมืองยุโรป วัฒนธรรมการเมืองของไทยก็แตกต่างจากวัฒนธรรมการเมืองของอังกฤษและอเมริกา
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สังคมไทยก็ควรถอยห่างจากการใช้อาวุธและกำลัง (มวลชน) เข้าประหัตประหารกัน ต้องพึ่งกระบวนการแลกเปลี่ยนทางความคิดและผลประโยชน์ให้เกิดสภาวะแห่งความสมดุล ไม่สุดโต่งทางใดทางหนึ่ง ในกระบวนการนี้ก็จะต้องเคารพต่อหลักอันศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และหลักจริยธรรม ตลอดจนวัฒนธรรมที่ดีของชาวไทยแต่โบราณ จะหาทางออกให้แก่สังคมไทยได้อย่างไร จึงเป็นประเด็นที่ท่านผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ต้องช่วยกันค้นคิด ค้นหา
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี