ในปี 2553 มีการชุมนุมการเมืองของ นปช. ที่มีนายทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้สนับสนุนตัวเอ้
บนเวที นปช. มีการปราศรัยข่มขู่รัฐบาล พูดถึงการตกใจ พุ่งเข้าไปหยิบฉวยของให้ห้างสรรพสินค้า พูดถึงการแตกฮือ ไฟลุกท่วมทั่วกรุงเทพฯ ฯลฯ
กระทั่งเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 ปรากฏว่า มีกลุ่มคนบุกเผาสถานที่สำคัญหลายแห่ง ศาลากลางในต่างจังหวัด
เฉพาะใน กทม. ที่ถูกเผาอุกอาจ เช่น ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ สี่แยกราชประสงค์, โรงภาพยนตร์สยาม สยามสแควร์, ห้างเซ็นเตอร์วัน อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, ที่ทำการตลาดหลักทรัพย์ฯ, การไฟฟ้านครหลวง สาขาคลองเตย ฯลฯ
แต่ละจุดนั้น มีพฤติการณ์แตกต่างกันในรายละเอียด
1. คอป.เคยนำเสนอ “5 ข้อสังเกต” ต่อการเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ และสถานที่ต่างๆ ว่า
“...ต่อข้อสังเกตที่ว่าการเผาสถานที่ต่างๆ เกิดจากภาวะจลาจลอันเป็นผลจากการปลุกเร้าในการปราศรัยระหว่างการชุมนุมอันยาวนานและความไม่พอใจที่แกนนำยุติการชุมนุมหรือไม่นั้น พบว่าสภาพการปลุกเร้าดังกล่าวเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ผู้ชุมนุมบางส่วนพร้อมที่จะก่อความรุนแรง ด้วยการเข้าไปเผาหรือร่วมเผาอาคารสถานที่ต่างๆ ดังนั้น เมื่อมีผู้ชุมนุมหรือบางคนพยายามวางเพลิงจะโดยเตรียมการมาหรือไม่ก็ตาม จึงมีผู้ร่วมชุมนุมคนอื่นเข้าร่วมปฏิบัติการด้วย เชื่อว่าสภาพดังกล่าวเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สถานการณ์การวางเพลิงลุกลามและรุนแรงยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม พบว่า ในจุดเกิดเหตุบางแห่ง มีผู้ชุมนุมหรือชาวชุมชนบางส่วน เช่น บริเวณบ่อนไก่ได้พยายามห้ามปรามและช่วยกันดับเพลิง แต่ถูกขัดขวางโดยผู้ชุมนุมอีกกลุ่มหนึ่ง และบางกรณีมีการขัดขวางโดยคนชุดดำที่ยิงปืนเข้าใส่ชาวชุมชนที่พยายามดับเพลิง เช่น กรณีเพลิงไหม้ที่ปากซอยงามดูพลี ตรงข้ามชุมชนบ่อนไก่ เป็นต้น...”
2. ล่าสุด เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา หมายเลขดำ 8132/2561 กรณีเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เผาอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ฝ่ายตลาดหลักทรัพย์ฯ ฟ้องให้ฝ่ายบริษัทประกันภัยจ่ายชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
หลังเกิดเหตุเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 มีกลุ่มบุคคลไม่ทราบจำนวนบุกเข้าทุบทำลายและวางเพลิงเผาอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย จากการทุบทำลาย เพลิงไหม้ น้ำที่ใช้ดับเพลิงจากอุปกรณ์ดับเพลิงอัตโนมัติ
ฝ่ายบริษัทประกันอ้างว่า ไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพราะความเสียหายเกิดจากการก่อความไม่สงบของประชาชนที่ถึงขนาดลุกฮือต่อต้านรัฐบาลและเป็นการก่อการร้าย ซึ่งเข้าข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย
ต่อสู้กันในศาลแพ่ง โดยศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
ฝ่ายโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภค พิพากษายืน โจทก์ฎีกาอีก
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ระหว่างวันที่ 12 มี.ค.2553 ถึงวันที่ 19 มี.ค.2553 มีเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือกลุ่ม นปช.เพื่อประท้วงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ลาออกจากตำแหน่งหรือยุบสภา และให้มีการเลือกตั้งใหม่ มีการตั้งเวทีใหญ่บริเวณแยกราชประสงค์ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง และมีการตั้งเวทีย่อยบริเวณแยกคลองเตย ใกล้อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีการปิดการจราจรบนถนนรอบพื้นที่การชุมนุมทุกแห่ง มีการใช้ความรุนแรงรัฐบาลได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ.2548 เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 รัฐบาลส่งกำลังทหารสลายการชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์ และได้เกิดเหตุเพลิงไหม้สถานที่หลายแห่งทั้งอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ได้รับความเสียหาย
ทางนำสืบของคู่ความทั้งสองฝ่าย ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เหตุเพลิงไหม้อาคารเกิดขึ้นตอน 15.00 น.ภายหลังแกนนำประกาศยุติชุมนุมตอน 13.00 น. ตลอดจนผู้ก่อเหตุทุบทำลายและเผาอาคาร ก็มีประมาณ 10 คน ทั้งเป็นกลุ่มบุคคลที่ปิดบังอำพรางใบหน้า และกลุ่มที่ทำในลักษณะมีเจตนาก่อเหตุร้ายแล้วหลบหนีไปทันที โดยไม่มีประชาชนอื่นใดร่วมกระทำการ พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังว่าเหตุเพลิงไหม้ตามฟ้องเป็นผลมาจากการก่อความไม่สงบของประชาชนที่ลุกฮือต่อต้านรัฐบาล และเป็นการก่อการร้ายเพื่อหวังผลทางการเมืองได้ตามข้อต่อสู้ของจำเลย ดังนั้น จำเลยทั้งหกจึงไม่อาจอ้างข้อยกเว้นความรับผิดชอบตามกรมธรรม์ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน
สรุป คือ คดีนี้ ถึงที่สุด โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคชี้ว่า เหตุการณ์เผาอาคารที่ทำการตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น ไม่ใช่การก่อการร้ายเพื่อหวังผลการเมือง
3. ย้อนกลับไปทบทวนการเผาอีกหลายกรณี ที่เกิดเป็นคดี เรียกเงินค่าประกันภัยกัน (คดีแพ่ง) และคดีถึงที่สุดไปแล้ว มีกรณีไหนบ้าง แล้วสรุปว่าเป็นอย่างไร?
3.1 เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2560 นางสาวอัมพาวีร์ ชมภูพงษ์เกษม เลขานุการ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯว่า บริษัทในเครือได้ทำประกันภัยการก่อการร้าย(Terrorism) วงเงิน 3,500 ล้านบาท ไว้ โดยกองทุนรวมธุรกิจไทย 4 ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท และเป็นเจ้าของสิทธิการเช่าโครงการเซ็นทรัลเวิลด์ และได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยการก่อการร้าย เป็นจำนวน 3,500 ล้านบาท เรียบร้อยแล้ว
ตอกย้ำว่า การเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ เมื่อปี 2553 เป็นการกระทำที่เข้าข่ายก่อการร้ายอย่างชัดเจน ถึงขนาดว่าประกันยอมจ่ายสำหรับประกันภัยการก่อการร้าย (Terrorism) โดยตรง
3.2 เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2560 ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับและยกคำขออนุญาตฎีกา ในคดีที่ฝ่ายผู้ประกอบการศูนย์การค้าเซ็นเตอร์วัน ร้านหนังสือดอกหญ้า และสำนักงานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยื่นฟ้องบริษัทประกันให้ชดใช้ จากกรณีเหตุการณ์เผาห้างและอาคารสิ่งก่อสร้างบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อปี 2553
เมื่อศาลฎีกาไม่รับฎีกา ทำให้คดียุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คดีนี้ ศาลแพ่งอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2556 ห้างสรรพสินค้าเซ็นเตอร์วัน เป็นโจทก์ฟ้องบริษัทประกันภัย จำกัด ให้จ่ายค่าเสียหาย122,790,000 บาท กรณีถูกวางเพลิงเผาทรัพย์และขโมยทรัพย์สินระหว่างการสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช.เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 เวลาประมาณ 16.00 น. ระบุว่า มีกลุ่มบุคคลประมาณ 200-300 คน มาชุมนุมหน้าศูนย์การค้า ต่อมาเวลาประมาณ 17.00 น. มีกลุ่มบุคคลทุบทำลายกระจกบริเวณด้านหน้าศูนย์การค้าแล้วได้ลักทรัพย์ของร้านค้าในศูนย์การค้า จากนั้น เวลา 18.00 น. กลุ่มคนเหล่านี้ได้เข้าไปวางเพลิงเผาโต๊ะเก้าอี้ และสินค้าเป็นเหตุให้เพลิงลุกไหม้ศูนย์การค้า
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 108,452,422 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
ฝ่ายจำเลยอุทธรณ์ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นในศูนย์การค้าเซ็นเตอร์วันของโจทก์ มีสาเหตุมาจากกลุ่ม นปช. ที่ชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา ต่อมามีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีการตั้ง ศอฉ.ขอคืนพื้นที่ กระทั่งเกิดเหตุปะทะกันระหว่างทหารและผู้ชุมนุม มีการใช้กองกำลังติดอาวุธที่เรียกว่าชายชุดดำ กลุ่ม นปช.ชุมนุมที่แยกราชประสงค์ แกนนำประกาศว่า หากทหารใช้กำลังสลายการชุมนุมให้ผู้ชุมนุมวางเพลิงเผาอาคารสถานที่สำคัญ ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 รัฐบาลสลายการชุมนุม นปช.ที่สี่แยกศาลาแดง และราชประสงค์ ผู้ชุมนุมบางส่วนย้ายไปชุมนุมบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ช่วงบ่าย แกนนำ นปช.ประกาศยุติการชุมนุม ก่อนเกิดการเผาสถานที่สำคัญใน กทม.ประมาณ 34 แห่ง รวมทั้งมีการเผาศูนย์การค้าของโจทก์ด้วย
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภค เห็นว่า เหตุการณ์เผาศูนย์การค้าของโจทก์เป็นกรณีสืบเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองถือเป็นการก่อความไม่สงบของประชาชนถึงขนาดลุกฮือต่อต้านรัฐบาล มีความวุ่นวาย โกลาหลอลหม่าน เห็นได้ว่า สาเหตุหนึ่งมาจากการปราศรัยปลุกระดมของแกนนำกลุ่ม นปช.
กรณีที่เกิดขึ้น ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่า การวางเพลิงเผาอาคารศูนย์การค้าของโจทก์จะเกิดจากกลุ่มวัยรุ่นคึกคะนอง พวกขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง คนขับรถซาเล้งซื้อของเก่าที่อาศัยโอกาสความวุ่นวายทางการเมืองเจตนาหวังเข้าไปลักทรัพย์ และเผาอาคาร น่าเชื่อว่า การวางเพลิงมีความประสงค์ก่อให้เกิดความเสียหายทางบ้านเมือง หลังเกิดเหตุมีรถดับเพลิงเข้าไป แต่ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมขัดขวาง นอกจากนี้ ยังพบลูกธนูพันด้วยผ้า และร่องรอยกระสุนปืน สรุปว่าพยานหลักฐานเกี่ยวกับการวางเพลิงเผาศูนย์การค้าของโจทก์ เกิดจากการกระทำของผู้ชุมนุม นปช.บางส่วนที่ต้องการใช้ความรุนแรง หรือข่มขู่บุคคลเพื่อหวังผลทางการเมือง เพื่อต้องการส่งผลให้รัฐบาล หรือสาธารณชนตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนก หวาดกลัว ถือเป็นการกระทำก่อการร้ายตามนิยามความหมายของกรมธรรม์ประกันภัย
จำเลยรับทำประกันกับโจทก์ในลักษณะความเสี่ยงภัยทุกชนิด ยกเว้น ความคุ้มครองเกี่ยวกับภัยความรุนแรงทางการเมือง กล่าวคือ ภัยสงคราม และก่อการร้าย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ พิพากษากลับ ยกฟ้อง
สรุปชี้ว่า การเผาห้างเซ็นเตอร์วันนั้น เป็นการกระทำก่อการร้าย
ทั้งหมด ยังไม่ปรากฏว่า แกนนำ นปช. จะต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไร?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี