ได้ไปเห็นการสนทนาระหว่างอดีตผู้สมัคร สส. รายหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์กับลูกเพจของเขาว่า
“ปชป.เป็นฝ่ายรัฐบาลอิสระดีไหมท่าน ยังไงก็ดีกว่าฝ่ายค้านอิสระนะ 555”
“มันมีแค่ฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล 2 ฝ่ายเท่านั้นแหละครับ ที่เติมคำเข้าไป เป็นการเล่นคำ
สมมุติว่า บอกตัวเองเป็นฝ่ายรัฐบาลอิสระ พรรคหลักเขาคงไม่ยินดีด้วยเพราะกลัวโดนแทงข้างหลัง ฝ่ายค้านอิสระก็เหมือนกัน คงไม่มีข้างไหนยินดีด้วย เพราะมันเหมือนนกสองหัว ดีร้ายรวมกัน ตัวอันตราย”
ความที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคประชาธิปไตย คนในพรรคส่วนมากจึงเป็น “เสรีชนช่างพูด” การสื่อสารองค์กร สื่อสารอุดมการณ์ และสื่อสารความคิดจึงไม่เคยเป็น “เอกภาพ” ที่มีพลังพอในการสร้าง “ความคิดหลัก*ความคิดร่วม”
ให้เกิดขึ้นในสังคม เพราะแม้แต่คนในพรรค ยังคิดต่าง และแย้งกันเองอยู่เสมอ
กรณี “ฝ่ายค้านอิสระ” เชื่อว่าคนในพรรคก็เข้าใจต่างกันไป ยกตัวอย่างตามข้อความที่นำมานี้ เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่า เป็นแค่การ “เล่นคำ”
ที่จริงแล้ว ในบางประเทศ มีพรรคฝ่ายค้านอิสระเกิดขึ้นแล้วในภาคปฏิบัติ และขับเคลื่อนประเด็นสำคัญให้เกิดขึ้นได้อย่างมีน้ำหนักในสังคม หาใช่การเล่นคำไม่ ประเทศไทย คำนี้ยังเป็น “ของใหม่” จนพานให้คิดว่าเป็นเรื่อง “เล่นลิ้น”
สุทธิชัย หยุ่น ก็เคยเล่าเรื่องนี้เอาไว้ว่า
“แนวทาง “ฝ่ายค้านอิสระ” อย่างนี้เคยมีในการเมืองอังกฤษ ซึ่งเรียกว่า Confidence and Supply
ความหมายของแนวทางนี้คือข้อตกลงระหว่างพรรคการเมืองที่มีความผูกพันน้อยกว่าการร่วมรัฐบาลผสม
เป็นข้อตกลงระหว่างพรรคการเมืองหนึ่งกับพรรคที่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย
พรรคที่เดินนโยบาย C&S นี้ไม่ส่งคนเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี แต่พร้อมจะให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยบริหารประเทศด้วยการพร้อมจะยกมือสนับสนุนญัตติสำคัญๆ โดยเฉพาะร่างกฎหมายงบประมาณและญัตติไม่ไว้วางใจ
แต่ขณะเดียวกันพรรคฝ่ายค้านอิสระที่ว่านี้ก็พร้อมจะค้านรัฐบาลในเรื่องที่ตนเองไม่เห็นด้วย”
นี่คือแนวทางของ “ฝ่ายค้านอิสระ”
ในท่ามกลางสังคมที่มีความสุดโต่งทางความคิด และสองขั้วความคิดก็ปะทะกันอย่างรุนแรง จนประชาชนถูกทิ้ง ประเทศชาติถูกละเลยการพัฒนาในระยะยาว แบ่งเป็นฝ่าย “ลุงตู่คนดี” กับ “ทักษิณคนชั่ว” และตามมาด้วย “ธนาธรคนกร้าว” มันไม่มี “พื้นที่ตรงกลาง” ให้คนปกติธรรมดาได้ยืนอยู่ และเรียกร้องในสิ่งที่ประชาชนและประเทศชาติต้องการ
สถานการณ์สุดโต่งบีบบังคับให้คนต้อง “เลือก” ว่ามึงจะอยู่ข้างไหน ขั้วใด สีอะไร จะร่วมรัฐบาลลุงตู่ หรือจะไม่ร่วมแล้วไปอยู่กับฝ่ายทักษิณ-ธนาธร เหมือนที่สื่อบางค่ายที่มีโครงข่ายอำนาจและผลประโยชน์เชื่อมต่อกับรัฐบาล คสช.
พยายามบีบความคิดคนให้เข้าใจไปว่า “ฝ่ายค้านอิสระ = สนับสนุนทักษิณ” จนหม่อมเจ้าบางคน ลดตนลงมาวุ่นวายกับ
“กระเจี๊ยว” ของไอติม ให้ความเห็นที่ทำให้สังคมเลอะเทอะ
เช่นกันกับความคิดที่ยกมานี้ ที่เข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงว่า ฝ่ายค้านอิสระ = นกสองหัว
ฝ่ายค้านอิสระ คือ การลากพาสังคมสุดขั้ว มาหาพื้นที่ “ตรงกลาง” ไม่หนุนรัฐบาลที่เขียนกติกาและใช้อำนาจสุดขั้ว เพื่อให้ตัวกับพวกได้ “คุมอำนาจ” และถ่วงดุลกับ “ฝ่ายค้านสุดโต่ง” ที่จ้องแต่จะค้านจะโค่นอย่างเดียว ซึ่งไม่จำเป็นต้องขออนุญาตฝ่ายค้านสุดโต่งพวกนั้น เพราะฝ่ายค้านไม่ต้อง “จัดตั้ง” ไม่เป็นรัฐบาลก็เป็นฝ่ายค้านโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว เพียงแต่จะค้านแบบไหน สุดโต่ง พอดีๆ มีเหตุมีผล ปกป้องประโยชน์ของประชาชน สนับสนุนโอกาสของประเทศชาติ?
การเลือกเป็นฝ่ายค้านอิสระ เป็นเรื่องท้าทายสังคม “เลือกข้าง-อ้างประเทศชาติ” เป็นอย่างมาก เพราะจะยืนอยู่ท่ามกลางความงุนงงและหงุดหงิดของคนทุกขั้ว แต่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า สังคมประชาธิปไตยนั้น ต้องการ “ความหลากหลาย” และ “ความพอดี-มีเหตุผล”
เกลียดอีกขั้วหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ทำอะไรก็ผิดไปหมด ไม่อยากจะร่วมแผ่นดินกัน ทำทุกวิถีทางเพื่อจะชนะ จนลืมความยุติธรรม ความสง่างาม ความถูกต้อง และธรรมาภิบาล อย่างเช่นที่ คสช. และพวก “สางเขียว” ทำและแสดงออก คือ “ทางออก” ของประเทศจริงๆ หรือ
ฝ่ายค้านอิสระ ไม่ได้จงเกลียดจงชังตัวคน แต่กล้าหาญที่จะปฏิเสธ “วิธีการได้มาซึ่งอำนาจ” ที่สร้างปัญหา และวิธีตรวจสอบถ่วงดุลที่ “สุดโต่ง” นั่นจึงต้องแยกตัวจากฝ่ายค้านสุดโต่งมาเป็นฝ่ายค้านอิสระ และพร้อมยกมือหนุนทั้งสองฝ่ายในเรื่องที่ถูกต้อง โดยไม่หวัง “ประโยชน์ตอบแทน” ในรูปแบบใดทั้งสิ้น เช่น เก้าอี้รัฐมนตรี หรือเก้าอี้ใดๆ ในฝ่ายค้าน
หากจะเลือกทางนี้ หรือให้ทางเลือกนี้เป็นส่วนหนึ่งของการ “นำไปพิจารณา” ชั่งน้ำหนัก ขอให้ประชาธิปัตย์เริ่มต้น
จากการ “ทำความเข้าใจ” บทบาทและหน้าที่ของ “ฝ่ายค้านอิสระ” ให้ตรงกันเสียก่อน และสร้างกระบวนการสื่อสารที่พร้อมเพรียงและเป็นเอกภาพ เพื่อลดความสับสน และสร้างความเข้าใจร่วมกันกับคนในสังคมภายนอกให้มีพลัง หยุดเป็นไม้ไผ่ที่กระจัดกระจาย เอามามัดรวมกันเป็น “แพ” ให้คนอื่นๆ เขาโดยสารไปด้วยได้เสียทีเถอะ
อย่างไรก็ตาม การเลือกเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” เป็น 1 ในหลายๆ ทางเลือกของพรรคประชาธิปัตย์ เขาสามารถเลือก
1.ร่วมรัฐบาล พปชร.
2.เป็นฝ่ายค้านอิสระ
3.ร่วมรัฐบาลขั้วที่ 3
1) การร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ลำพังพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียวไม่สามารถ “เติมเต็มความชอบธรรม” ให้แก่ พปชร. ได้ เพราะหากขาดภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา และชาติพัฒนา เข้าร่วมด้วยแล้ว เสียงของฝ่ายนี้ก็ยังไม่พออยู่ดี สุดท้ายก็ต้องใช้เสียง สว. เข้าหักหาญ เพื่อจะยึดเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” มาให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ที่ค่อยๆ เจรจาต่อรองเอาพรรคที่เหลือมาเข้าร่วมไปเรื่อยๆ เพราะ สว. ช่วยได้แค่รอบเดียว คือรอบของการโหวตนายกฯ หลังจากนั้น ในการพิจารณาผ่านกฎหมาย การอภิปรายต่างๆ เป็นเรื่องของ “สภาผู้แทนราษฎร” ซึ่งหากเจอฝ่ายค้านตีรวน การเสนอกฎหมายต่างๆ รวมทั้งกฎหมายงบประมาณก็ดี การอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ดี รัฐบาลไปไม่รอด ตัวแปรของการจัดตั้งรัฐบาลของ พปชร. จึงไม่ได้อยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียว แต่สื่อในเครือข่ายของมาดามเดียร์ แห่ง พปชร. ก็ไล่ตีประชาธิปัตย์อยู่พรรคเดียว ทำราวกับว่า ได้พรรคประชาธิปัตย์ไป แล้วตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้เลยอย่างนั้นแหละ
2) เป็นฝ่ายค้านอิสระ คือเป็นเอกเทศ ไม่ได้ร่วมกับฝ่ายรัฐบาล แต่ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ซึ่งไม่ได้รวมหมู่ไปกับฝ่ายค้านพรรคอื่นๆ โดยมีจุดยืนคือ ถ้ากฎหมายที่รัฐบาลเสนอ เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ไม่มีผลกระทบกับวินัยการเงินการคลัง
และมาตามกระบวนการที่ถูกต้อง ก็ยกมือสนับสนุนได้ ไม่ได้แปลว่า เป็นฝ่ายค้านแล้วต้องค้านดะไป แต่อะไรที่รัฐบาลทำไม่ถูก ไม่ดี ก็ตรวจสอบแล้วดำเนินการเอาผิดไปตามกระบวนการ
3) รัฐบาลขั้วที่ 3 จะเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมาก คือหากพรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ และเครือข่าย จับมือกับพรรคภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา และชาติพัฒนาได้ จะมี 300 กว่าเสียง ความขัดแย้งที่เคยมีมาจะทุเลาลง เพราะต้องหาจุดร่วม สงวนจุดต่าง วางความขัดแย้ง จึงจะไปรอด บ้านเมืองสงบที่หลายคนต้องการจะเกิดได้ แต่ต้องอาศัยความจริงใจและพร้อมเพรียงของทุกพรรค ในการ “คืนทหารกลับค่าย” แล้วให้ สส. เป็นผู้บริหารประเทศ ซึ่งต้องตั้งใจและสามัคคีกันบริหารอย่างปราศจากการคอร์รัปชั่นและความแตกแยก ตลอดจนการก้าวล่วงสถาบันเบื้องสูง ที่จะเป็นเหตุให้ทหารออกมารัฐประหารอีก เรื่องนี้พรรคภูมิใจไทยเหมาะสุดที่จะเป็นแกน แต่ต้องได้คำมั่นสัญญาที่ชัดเจนจากพรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่ในเรื่องที่จะเป็นปัจจัยสู่การรัฐประหาร แม้แนวนี้จะถูกขวางด้วย สว. จนไม่อาจตั้งรัฐบาลได้ แต่นั่นจะเป็น “ใบเสร็จใบสุดท้าย” ที่ชี้ให้เห็นว่า การคัดค้านเรื่อง “คำถามพ่วง” ที่ให้ สว. มาเลือกนายกฯ เป็นการเตรียมการ “ยึดอำนาจ” อีกรูปแบบหนึ่งของ คสช. มีหลักฐานจริง ยืนยันได้ชัดเจน และทำให้เห็นว่า “กติกา” ขาดธรรมภิบาลอย่างร้ายแรง เสียงของประชาชนถูกบิดเบือนโดยเสียงของ สว.แต่งตั้ง ที่จำนวนมาก คือคนที่เขียนกติกานี้ ผ่านกติกานี้ แล้วมาเสวยสุขจากกติกาตนที่ตนกับพวกมีส่วนร่วม อันเป็นความอัปรีย์ของกระบวนการประชาธิปไตยที่ยากจะยอมรับได้
10 เม.ย. 2559 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมแถลงแสดงจุดยืน ปฏิเสธการรับรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง พร้อมทำนายไว้แล้วว่า คำถามพ่วงที่ให้ สว.จากการเลือกของ คสช. มาร่วมโหวตเลือกนายกฯ จะเป็นชนวนแห่งความขัดแย้งในสังคมไทยที่ไม่อาจยอมรับได้ มาวันนี้ รองหัวหน้าพรรคนาม “จุรินทร์” ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค ทิศทางของ “มติ” ประชาธิปัตย์จะไปทางใดต้องติดตาม
เช่นเดียวกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่เคยประกาศว่า จะสนับสนุนนายกฯ ที่ได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น ในเวลาที่ พปชร. ยังมิใช่เสียงข้างมาก ภูมิใจไทยจะมีมติอย่างไร
กระนั้นก็ตาม การเมืองไทยไม่ได้ยึดโยงกับ “อุดมการณ์” สักเท่าไรนัก ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา
บรรยากาศถูกกำหนดให้ “เลือกข้าง” และประชาชนก็ดันเลือกเล่นในเกมนั้น จนนำมาสู่ความขัดแย้ง ด่าทอ กันอย่างหนักหน่วงในสื่อออนไลน์ในทุกวันนี้ ชนิดที่ดูเหมือนหาทางออกไม่ได้ เป็นผลลัพธ์จากความสุดโต่งของทั้งสองฝ่ายที่ประชาชนยินยอมพร้อมใจ สุดท้าย ไม่มีฝ่ายใดพาบ้านเมืองไปสู่ทางออกได้ด้วย “ประชาธิปไตยสุจริต” เลย ต้องมารอพรรคขนาดกลางกำหนดทางออกให้
สถานการณ์แบบนี้ประชาธิปัตย์เล่นยากกว่าภูมิใจไทย แต่อย่างไรสองพรรคนี้ควร “เต้นในเพลงเดียวกัน”
ช่วยกันกำหนดปัจจุบันและอนาคตของประชาธิปไตยไทยให้ดีนะครับ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี