ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีมาระยะหนึ่งแล้ว แต่การ “ตั้งรัฐบาล” ก็ยังไม่สำเร็จเป็นรูปธรรมเสียที ผัดผ่อนจากสิ้นเดือนมิถุนายน เลยไปถึงกลางเดือนกรกฎาคม จนผู้คนเกิดตั้งคำถามว่า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มีปัญหาอะไร ถึงตั้งรัฐบาลไม่ได้สักที
ระหว่างตั้งรัฐบาลใหม่ไม่คืบหน้า รัฐบาลเก่าก็ใช่ว่าจะขมีขมันทำงานให้เป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้คนได้ว่า เอาวะ ยังไม่มีรัฐบาลใหม่ แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันก็ทำงานได้ และทำอย่างจริงจัง มีอำนาจเต็มตามกฎหมาย
และระหว่างที่ยัง “ตั้งรัฐบาลไม่ได้” อะไรคือผลกระทบ หรือปัญหาที่คอยการแก้ไขอยู่
1) นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจช่วงนี้ไม่ค่อยดี ส่งผลให้กำลังซื้อระดับล่าง และกำลังซื้อรากหญ้าหายไปอย่างชัดเจน อีกทั้งค่าครองชีพก็สูงขึ้น ซึ่งมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า 30 บาทต่อเหรียญดอลลาร์สหรัฐ มองว่าค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วมาก ต่างจากช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาค่าเงินบาท อยู่ที่ 34-35 บาท
สำหรับค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงไป อาจส่งผลดีต่อธุรกิจบางกลุ่ม แต่ก็ส่งผลเสียกับธุรกิจบางกลุ่ม โดยเฉพาะธุรกิจส่งออก ถ้าค่าเงินบาทแข็ง จะส่งผลกระทบต่อออเดอร์การสั่งสินค้า และรายได้การส่งออกสินค้าเกษตรที่ลดลงจะกระทบต่อเกษตรกรและกำลังซื้อรากหญ้าก็จะลดลงตามไปด้วย เพราะสินค้าเกษตรเป็นสินค้าที่เริ่มต้นการผลิตในประเทศไปจนถึงการส่งออก
นายบุณยสิทธิ์ย้ำว่า หลังจากมีการเลือกตั้งมา 3 เดือนแล้ว ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ถือว่าช้ามาก ซึ่งหากช้ากว่านี้จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน และหากช้าไปกว่านี้อีก 1 เดือน จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นมากขึ้น
เขาฉายภาพเศรษฐกิจขณะนี้ว่า “...ปีนี้เศรษฐกิจไม่ดีทั่วโลก ทำให้ธุรกิจค่อนข้างทรง ที่ผ่านมากำลังซื้อค่อนข้างซบเซา ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์การเมืองในไทย ที่ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ทันทีหลังจากที่เลือกตั้งแล้วเสร็จในช่วงเดือนมี.ค. ส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน นักธุรกิจลดลง ทั้งๆ ที่น่าจะดีขึ้น ทำให้ในช่วงครึ่งปีแรกเครือสหพัฒน์ชะลอการลงทุน จากปกติที่ต้องลงทุนไปแล้ว ทำให้เม็ดเงินลงทุนปีนี้ลดลง 2-3 เท่าตัว ผิดจากที่คาดการณ์ไว้กว่า 2 เดือนที่ผ่านมาเศรษฐกิจซบเซา เพราะรัฐบาลตั้งไม่ได้ หากสามารถตั้งรัฐบาลขึ้นมาได้เศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น หวังว่าปลายเดือนนี้ จะสามารถตั้งรัฐบาลได้ เศรษฐกิจจะได้ดีขึ้น ส่วนนโยบายเร่งด่วนรัฐบาลต้องช่วยรากหญ้าให้มีกำลังซื้อ ขณะนี้ไม่มีใครขึ้นราคาสินค้าเพราะอยากขายสินค้าให้ได้มากกว่า
“ขณะนี้เศรษฐกิจไทยยังไม่ค่อยดี การทำธุรกิจเปรียบเหมือนการขับรถ ตอนนี้ต้องแตะเบรกอย่างเดียวก่อน ยังไม่สามารถเหยียบคันเร่งได้ เพราะการทำธุรกิจมีตัวแปรมาก ทั้งภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ปัญหาการเมือง และเศรษฐกิจโลกด้วย” นายบุณยสิทธิ์ กล่าว และแนะด้วยว่า
“สิ่งเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการ คือ การออกนโยบายหรือมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้าให้เร็วที่สุด เพื่อให้เกิดการจับจ่ายสินค้าโดยเร็ว รวมทั้งดูแลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนในอยู่ในระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ขึ้นไป เพราะที่ผ่านมาการจัดตั้งรัฐบาลมีการยืดเยื้อ หากยังยืดเยื้อต่อไปอีกอาจทำให้ไทยสูญเสียโอกาส นักลงทุนใหม่ๆ ที่กำลังตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทยเปลี่ยนใจย้ายไปตั้งฐานการผลิตไปในเวียดนาม อินโดนีเซีย และเมียนมาแทน”
2) นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง เตรียมปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2562 อีกครั้งในสิ้นเดือนก.ค. 2562 เดิม สศค.คาดว่าจะโต 3.8% แต่หลังเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบจากการส่งออกเป็นสำคัญ และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ปรับจีดีพีลดลงเหลือ 3.3%
แต่อย่างไรก็ตาม สศค.กำลังติดตามตัวเลขภาวะเศรษฐกิจในเดือนมิถุนายน เพื่อปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ เชื่อว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล โดยระหว่างนี้จะมีการติดตามปัจจัยสำคัญที่จะมีผลกับเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลการประชุม G20 ระหว่างวันที่ 28-29 มิถุนายนนี้ว่าผู้นำสหรัฐและผู้นำจีนจะมีข้อสรุปในเรื่องสงครามการค้าอย่างไร
สำหรับความจำเป็นที่จะต้องมีการออกมาตรการเพื่อพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่นั้น นายพรชัยกล่าวว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ โดยกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะมีการหารือร่วมกัน เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและเสนอให้รัฐบาลใหม่ใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาว่ามีความจำเป็นที่จะออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่
โดยในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจทั้งในเรื่องการส่งออกและการท่องเที่ยวชะลอตัวลงเห็นได้ชัดเจน โดยการส่งออกสินค้าในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐติดลบ 5.8% ถือว่าแย่กว่าที่คาดไว้ เพราะติดลบต่อเนื่องมานานหลายเดือน ส่วนท่องเที่ยวจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติติดลบ 1% โดยนักท่องเที่ยวจีนติดลบ 2.7% ส่วนรายได้ท่องเที่ยวต่างชาติติดลบ 1% ทำให้ทั้งปีคาดไว้ว่าท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 40 ล้านคน จากปีที่แล้ว 38 ล้านคน อาจไม่ถึงเป้าหมายวางไว้ แต่จะสูงกว่าปีที่แล้ว ซึ่ง สศค.กำลังอยู่ระหว่างประเมินตัวเลขนักท่องเที่ยวใหม่
“การส่งออกและบริการมีสัดส่วน 77% ของจีดีพี และเฉพาะส่งออกอย่างเดียวมีสัดส่วน 55-56% ของจีดีพี ส่วนท่องเที่ยวต่างชาติมีสัดส่วน 12% ของจีดีพี ดังนั้นเมื่อ 2 ส่วนนี้มีตัวเลขที่แย่ลงหลีกเลี่ยงไม่ได้จะกระทบในภาพรวม ขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังเตรียมพร้อมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเสนอต่อรัฐบาลใหม่ เพื่อดูแลเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัญหา รวมถึงนำนโยบายหาเสียงของพรรคร่วมรัฐบาล เช่น บัตรสวัสดิการ มารดาประชารัฐ เรื่องเบี้ยยังชีพมาพิจารณาถ้าทำนโยบายดังกล่าวต้องดูไม่ให้มีผลกระทบต่อภาระทางการเงินการคลัง”
ทั้งนี้ภาพรวมการท่องเที่ยวที่ชะลอลงเกิดจากนักท่องเที่ยวจีนเป็นสำคัญ โดยคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนเนื่องมาจากปัญหาสงครามการค้า ซึ่งกระทรวงการคลังจะมีการทบทวนเป้าหมายตัวเลขนักท่องเที่ยวในปีนี้ใหม่ด้วยเช่นกัน จากเดิมคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน แต่คาดว่ายังคงใกล้เคียงกับปีที่แล้วประมาณ 38 ล้านคน
3) การตั้งรัฐบาลล่าช้า ยังอาจส่งผลกระทบต่อการพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณ ปี 2563 ด้วย โดยนายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เปิดเผยว่า การจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้าส่งผลให้การประกาศใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 น่าจะล่าช้าไปราว 3-4 เดือน กรณีล่าช้าที่สุด ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 น่าจะเริ่มบังคับใช้ได้ช่วงต้นเดือน ม.ค. 2563 ที่น่าห่วงคือรัฐบาลชุดใหม่ที่มีรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาล จะขอทบทวนการจัดสรรงบประมาณในแต่ละกระทรวงที่รับผิดชอบดูแลจำนวนมาก อย่างไรก็ดี ภายในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. หลังมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ สำนักงบประมาณจะเสนอหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 ไปพลางก่อน
4) นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหาร TMB Analytics กล่าวว่า หากงบฯปี’63 ล่าช้าถึง 1 ไตรมาส จะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้โตได้ไม่ถึง 3% เนื่องจากการลงทุนภาคเอกชนจะชะลอตัว รอความชัดเจนโครงการร่วมลงทุนกับภาครัฐ (PPP) หรือการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งการลงทุนภาคเอกชนมีสัดส่วนถึง 20% ในจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) และถือเป็นความหวังของเศรษฐกิจไทยปีนี้ ขณะที่การลงทุนภาครัฐสัดส่วนเพียง 5%
“การลงทุนภาครัฐชะลอตัวมาสักพักแล้ว ซึ่ง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา พลาดเป้าตลอด ปีนี้ทาง TMB มองโตแค่ 2.5% ไม่ถึง 3% แต่ถ้าความล่าช้าในการตั้งรัฐบาลทำให้เมกะโปรเจกท์ช้า จะดึงการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัว ซึ่งตัวนี้เป็น 1 ใน 4 ของเศรษฐกิจไทย และแทบเป็นความหวังเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้โตได้ เพราะเครื่องยนต์อื่นดับเกือบหมด อาจมีท่องเที่ยวที่ยังดูดี แต่ไม่ได้ดีกว่า 1-2 ปีที่แล้ว เพราะนักท่องเที่ยวจีนชะลอไปมาก”
5) ท่ามกลางความ “แน่นิ่ง” และ “ผันผวน” ของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็น “จุดตาย” ของรัฐบาลทุกรัฐบาล “การเมือง” ก็กลับไม่นิ่งอีก คำถามคือ พล.อ.ประยุทธ์จะ “เอาอยู่” หรือไม่ ให้เริ่มดูว่า พล.อ.ประยุทธ์ “บริหารการเมืองหลายขั้ว” ทั้งในพรรคพลังประชารัฐและพรรคร่วมรัฐบาลอย่างไร
6) ขณะนี้เกิดข่าวลือที่สร้างความ “ระส่ำระสาย” ในการจัดตั้งรัฐบาลมากพอควร อันเนื่องมาจาก ว่าที่รัฐมนตรีในกลุ่มสามมิตร ไม่ได้รับแบบฟอร์มกรอกประวัติเพื่อจะเป็นรัฐมนตรี ทำให้ตีความพร้อมกับข่าวลือว่า มีการ “ตัดโควตา” บ้าง “เปลี่ยนตัว” บ้าง “ลดเก้าอี้” บ้าง จนระดับนำของกลุ่มสามมิตร “ออกอาการ”
นายอนุชา นาคาศัย สส.ชัยนาท กล่าวภายหลังที่เกิดกระแสข่าวการสลับเก้าอี้รัฐมนตรีของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ไปเป็นรมว.อุตสาหกรรม และตนเอง นายอนุชา นาคาศัย สส.ชัยนาท และประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคกลาง พรรคพลังประชารัฐ อาจหลุดโผคณะรัฐมนตรี(ครม.) นั้นว่า ตนยังไม่เชื่อว่า ทั้งหมดนั้นเป็นความจริงตามข่าวที่เกิดขึ้น เพราะเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับปากกับนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐว่า โผครม.ที่ตกลงกันในส่วนของโควตาพรรคพลังประชารัฐ ที่ตนได้รมช.คลัง นายสุริยะ เป็นรมว.พลังงาน และบุคคลในพรรคพลังประชารัฐที่จัดโควตาไว้ให้เป็นไปตามนั้น ขออย่าเปลี่ยนแปลงอีก
“ผมคิดว่า ท่านนายกฯเป็นชายชาติทหาร เป็นคนรักษาคำพูด และจะไม่ผิดคำพูดแน่นอน โดยจะยังยึดเอามาตรฐานเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.
เป็นหลัก เพราะทุกคนที่ได้รับแจ้งในวันนั้น ก็ยังมั่นใจในคำพูดของนายกฯเช่นกัน” นายอนุชา กล่าว
7) ภายในพรรคพลังประชารัฐ มี “ก๊ก” ต่างๆ มาก จนไม่ง่ายที่จะบริหารจัดการ บวกกับก๊กเหล่าเหล่านี้ เป็น “นักเลือกตั้ง” ระดับ “เซียน”ที่ “เวียน” ไปอยู่พรรคต่างๆ จนกลายเป็นนักต่อรองและนักบริหารอำนาจมืออาชีพ ก่อนการเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นใหญ่กว่านักการเมืองเหล่านี้ แต่บัดนี้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องอาศัยนักการเมืองเหล่านี้เป็น “นั่งร้าน” หรือเป็น “เก้าอี้” รองขาให้สูงพอที่จะอยู่ใน “อำนาจ” ได้
8) แต่ดูเหมือนว่า ก๊ก กปปส./ปชป. ในพลังประชารัฐ จะได้รับการ “ดูแล” ดีกว่าก๊กสามมิตรและก๊กอื่นๆ ไม่รวมก๊ก “พรหมเผ่า” ที่เป็น “เด็กดี” เล่นเป็น ยอมถอยเก้าอี้รัฐมนตรี กลับไปสร้างอาณาจักร “พะเยา” แข็งแกร่ง ก๊กพลังชลได้เก้าอี้รัฐมนตรีวัฒนธรรม ซึ่งไม่มีใครมายื้อแย่งด้วย ก็สงบราบคาบ บวกกับเพิ่งสูญเสียประมุขใหญ่ จึงไม่มีความเคลื่อนไหวหรือ “แรงกระเพื่อม” ใดๆ ทว่า “ความคับแค้น” ของกลุ่มสามมิตร เป็นสิ่งที่ “มองข้าม” หรือ “ชะล่าใจ” ไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องบริหาร “ความเป็นธรรม” ต่อกลุ่มสามมิตรให้ดีพอ เพื่อที่เก้าอี้ที่ท่านใช้ “ต่อขา” ตัวเองอยู่จะได้ “ไม่โยก”
9) อย่าลืมว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยืนอยู่บน “ความคลอนแคลน” หลายประการ เริ่มจากการเป็น “คนนอก” ของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งหากเข้าไปจัดการ/บงการ อะไรมาก ก็มีโอกาสจะเข้าข่าย “คนนอกเข้ามาควบคุมบงการ” ส่งผลให้ “ยุบพรรค” ได้ ฉะนั้น อย่างเลว พล.อ.ประยุทธ์ ต้องสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐกันเหนียวไว้เสียก่อน เหมือนที่ “กำนันสุเทพ” ใช้ลูกไม้นี้ บริหารจัดการพรรครวมพลังประชาชาติไทย จากนั้นเข้าไปจัด “สมดุลอำนาจ” และ “จัดสรรประโยชน์” ให้ก๊กก๊วนต่างๆ พอใจ และไม่กลายเป็น “แรงเสียดทาน” เสียเอง
10) อย่าหวังว่า สว. ที่ร่วมปั้น “กฎหมาย” และ “ชง” ตำแหน่งให้กันและกันไปมา จะอุปถัมภ์ค้ำชู พล.อ.ประยุทธ์ได้ เพราะงานของ สว. หากมาเจ้ากี้เจ้าการกับงานของสภาผู้แทนราษฎรมาก จะกลายเป็น “ผลเสีย” มากกว่าผลดี แถมยังมีเรื่อง “แรมโบ้อีสาน” หลุดคดี ให้คนรู้สึก เอ๊ะๆ กับอะไรบางอย่างให้ท่าน “ต้องสงสัย” ว่าแทรกแซงกระบวนการนี้หรือไม่ด้วย ท่านยิ่งต้องเดินเกมการเมืองอย่างระมัดระวัง
11) ยิ่งตั้งรัฐบาลช้า ฝ่ายค้านยิ่งเดินเกมบั่นทอนความน่าเชื่อถือ และรุกไล่ได้มากขึ้น กว่าจะมาแก้ต่างในประเด็นต่างๆ ได้ การรับรู้เรื่องที่ “เป็นลบ” ก็สะสมอยู่ในบัญชีความจำของผู้คนไปมากโขแล้ว ซึ่งสุดท้ายจะกลายเป๋น “งานหนัก” ที่ “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” ต้องมาตามแก้ แก้ทีหลังมันยิ่งยากนะครับท่าน
ดังนั้น เร่งเคลียร์ปัญหาภายใน แล้วตั้งรัฐบาลให้ได้เสียเถิด
อย่าลืมว่า ผู้คนจำนวนมากคิดเสมอว่า ฝ่ายค้านไม่มีปัญญา “ล้ม” รัฐบาลประยุทธ์ได้แต่ แต่ “เลื่อย” ขาเก้าอี้ให้ทรุดได้ตลอดเวลา เพราะท่านเลือกระบวนการเข้ามาสู่อำนาจรอบนี้ด้วยวิธีที่มี “ตำหนิ” อยู่ไม่น้อย
สิ่งที่จะล้มเก้าอี้นายกฯ ของ พล.องประยุทธ์ได้ ก็คือคนในพรรคพลังประชารัฐและพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งยืนประจำการเป็น “ขาเก้าอี้” ของ “ลุงตู่” อยู่ตอนนี้
สำรวจให้ดีๆ เก้าอี้ “ขาโยก” แล้วหรือยัง!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี