ตั้งแต่มีการเปิดประชุมรัฐสภามา เมื่อใดที่เราชาวประชาชาติไทยเปิดวิทยุฟัง เปิดโทรทัศน์ดู และอ่านหนังสือพิมพ์ และรับข่าวทางสื่อสมัยใหม่ โซเชียลมีเดีย สิ่งที่เราได้ประสบกันอยู่ โดยเฉพาะส่วนสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ นั่นก็คือ การเล่นชั้นเล่นเชิง ชิงไหวพริบ ขัดแข้งขัดขา ด้วยการยกกฎเกณฑ์ กติกา ข้อบังคับขึ้นมาอ้าง ผสมกับการพูดจาถากถางชวนทะเลาะเบาะแว้ง หรือไม่ก็โจมตีด่าทอกับ “ตัวแทน” ของประชาชน (อีกฝั่ง) แบบซึ่งๆ หน้า
แค่นั้นยังไม่เพียงพอ บางคู่ยังออกมาต่อกรกันต่อนอกสภา แถมยังมีการยื่นหนังสือผ่านกระบวนการยุติธรรม เพื่อฟ้องร้องกล่าวหาซึ่งกันและกัน ซึ่งประเด็นส่วนมากนั้นล้วนเป็นการเล่นเกมการเมืองกันอย่างเมามัน คึกคะนองใจ ไม่ได้เกรงอกเกรงใจประชาชนพลเมือง ที่ได้ทำการเลือกเขาเหล่านั้นเข้ามาสู่สภา ด้วยความคาดหวังว่าบรรดากุมารทองอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้ จะได้ไปทำการนึกคิด ลงมือกระทำการต่างๆ เพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อความผาสุกของชาวประชา
ผ่านมาไม่กี่เดือนก็ดูเสมือนว่า พวกเขาต่างลืมคำมั่นสัญญา และลืมภาระหน้าที่ของผู้แทนประชาชนกันไปเสียแล้ว เพราะในจิตใจ มุ่งแต่จะหักหาญ ล้มล้างกันและกัน ตอกย้ำความแตกแยก และยุยงส่งเสริมให้ประชาชนพลเมืองแบ่งฝักแบ่งฝ่ายไม่สามารถหันหน้าเข้าหากันเพื่อหาจุดรวม หาความสามัคคีสมานฉันท์ ลืมคิด ลืมทำ ว่าสิ่งใดดีงามและสมฐานะความเป็นผู้แทนของราษฎร ต่างทำตัวเสมือนผู้ไร้ความทรงเกียรติ เป็นผู้น่ารังเกียจมากกว่า
แล้วจะมาเป็นผู้แทนกันไปทำไม?
พอได้รับอำนาจจากประชาชน เริ่มใช้เงินภาษีของประชาชน เพียงไม่กี่วันก็เริ่มออกลายกันแล้วที่สำคัญ ผู้หลักผู้ใหญ่ของแต่ละพรรคนั้นหายไปไหน ทำไมไม่ออกมาตักเตือน มากำชับถึงสิ่งอันควรต่อลูกพรรค หรือที่ทำนิ่งๆ ไม่พูดอะไร หมายความว่า ผู้อาวุโสก็เห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำเหล่านั้นด้วย?
ถ้าทั้ง “คอก” กลายเป็นเช่นนี้เสียแล้ว ก็คงจัดได้ว่า พวกเขากำลังร่วมกันบ่อนทำลายสังคมประชาธิปไตย หรือการเมืองระบอบรัฐสภา หรือการเมืองแบบตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งที่มีการแข่งขันกันโดยปริยาย
เมื่อบรรดานักการเมืองจะรวมหัวกันเป็นผู้ทำลายประชาธิปไตยเช่นนี้ ก็คงไม่พ้นที่ประชาชนพลเมืองจะต้องเรียกร้องความถูกต้องชอบธรรม ซึ่งหากนักการเมืองยังไม่สำนึก ในกรณีเลวร้ายสุด ก็ต้องออกมารวมตัวกันเพื่อ “ล้มกระดาน” ในที่สุด แล้วปฏิรูปการเมืองด้วยภาคประชาชน ให้เป็นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบทางตรงให้เต็มที่ โดยอยู่บนพื้นฐานที่ว่า ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามที่เป็นเรื่องระดับชาติ ประชาชนพลเมืองต้องเป็นผู้ตัดสินใจก่อนโดยมีการอภิปรายถกเถียง และลงคะแนนว่า จะรับหรือไม่รับ ด้วยระบบการลงประชามติ ซึ่งสามารถกระทำได้ควบคู่กันทั้งการหย่อนบัตรด้วยระบบไปรษณีย์ และด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ผลออกมาแล้วถึงจะส่งต่อให้รัฐสภาออกกฎหมาย หรือกำหนดงบประมาณ
การเสนอเรื่องราวใดๆ จะเป็นร่างกฎหมาย หรือนโยบายมาตรการก็จะไม่จำกัดอยู่ที่อำนาจคณะรัฐมนตรี หรือคณะรัฐสภา แต่จะอยู่กับประชาชนเป็นหลัก
การณ์นี้เป็นประชาธิปไตยแบบการมีส่วนร่วม ซึ่งฝ่ายตัวแทนเป็นแค่จักรกลส่วนหนึ่งเท่านั้น และในระบบนี้ประชาชน “ต้องมาก่อน” ประชาชนเป็นตัวตั้ง และเป็นตัวผู้ได้รับผลประโยชน์ ณ ปลายทาง
แต่ในระหว่างนี้ ประชาชนพลเมืองก็มีสิทธิที่จะฟ้องร้อง ถอดถอน “ผู้แทน” ทุกคนที่มัวหน้ามืดตามัว เอาแต่ “เล่น” การเมือง โดยไม่ยอมทำงานตามหน้าที่ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนชาวไทย
นักคิด นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวนักหนังสือพิมพ์ และบรรดาพลเมืองที่ห่วงใยบ้านเมืองต้องออกมาแสดงตัวปฏิเสธความน่ารังเกียจต่างๆ โดย “ผู้แทน” เหล่านี้ เราต้องไม่ยอมให้คนเหล่านี้มีที่ยืนในเวทีการเมืองอีกต่อไป
ในขณะเดียวกัน องค์กรอิสระต่างๆ ก็อย่านั่งรอรับเรื่องแต่อย่างเดียว ต้องออกมาดำเนินการเชิงรุก แสดงจุดยืนให้สังคมเห็นว่า ฉันอยู่กับข้างประชาธิปไตยและความถูกต้องชอบธรรมทั้งปวง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี