สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้แถลงข่าว “ประเมินผลงาน ปฏิรูป 5 ปี รัฐบาลประยุทธ์ (1): ติดตามความคืบหน้าแก้ปัญหาประเทศ”
ทีดีอาร์ไอได้ชี้ให้เห็นทั้งเรื่องที่รัฐบาล คสช.ทำสำเร็จ และเรื่องที่ควรสานต่อในรัฐบาลต่อไป
ยกตัวอย่างบางประเด็นที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้
1. เรื่องเกี่ยวกับการเกษตร
ทีดีอาร์ไอระบุว่า รัฐบาล คสช.สามารถผลักดันให้เกิดผลสำเร็จในหลายเรื่อง เช่น
การขายข้าวจากโครงการจำนำข้าว 17.76 ล้านตัน ได้ในเวลาไม่ถึง 4 ปี ถือว่าเร็วกว่าในอดีต (ยกเว้นส่วนที่ติดคดีประมาณ 3.45 แสนตัน) โดยใช้วิธีประมูลอย่างโปร่งใส ซึ่งช่วยลดภาระการขาดทุน และลดแรงกดดันราคาข้าวไทยให้อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ชาวนาได้ประโยชน์และการค้าข้าวกลับสู่ภาวะปกติ และไทยสามารถทวงคืนส่วนแบ่งตลาดข้าวหอมในฮ่องกงที่สูญเสียให้แก่เวียดนามในช่วงนโยบายจำนำข้าวทุกเมล็ด
การอุดหนุนโดยตรงแก่เกษตรกร องค์กรของเกษตรกรและโรงสี เช่น การช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและค่าปรับปรุงคุณภาพข้าว การให้สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าว การชดเชยดอกเบี้ยให้โรงสีในการเก็บสต๊อกข้าว เป็นต้น ซึ่งโดยรวมแล้ว ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้สุทธิสูงขึ้น โดยรัฐไม่เข้าแทรกแซงหรือสร้างผลกระทบต่อตลาดมาก
การแก้ปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานหรือขาดการควบคุม (IUU) โดยรัฐบาลสามารถแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วตามแรงกดดันของสหภาพยุโรป ทำให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าประมงไปสหภาพยุโรปได้ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาในระยะแรกละเลยผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชาวประมงพื้นบ้าน และให้การเยียวยาผู้เสียหายล่าช้ากว่า 4 ปี โดยเพิ่งชดเชยค่าซื้อเรือในงวดแรกเมื่อเดือนมิถุนายน 2562 นอกจากนี้ ยังมีปัญหาขัดแย้งระหว่างประมงชายฝั่งกับประมงเชิงพาณิชย์ที่ยังไม่ได้รับแก้ไขอย่างเพียงพอ
ทีดีอาร์ไอระบุว่า รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการพัฒนา ดังนี้
จัดให้มีการวิจัยที่อิงความต้องการของตลาด โดยเน้นการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มการผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง และช่วยเกษตรกรปรับตัวรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โดยให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมกำหนดทิศทาง เป้าหมายและออกค่าใช้จ่ายบางส่วน
ปรับบทบาทของรัฐจากผู้ดำเนินการส่งเสริมเอง มาเป็นผู้สนับสนุนทุนและทรัพยากรในการส่งเสริมการเกษตรของภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน มหาวิทยาลัยและกลุ่มเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรสามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพิ่มผลิตภาพ และลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม อย่างเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ เกษตรกรและระบบการผลิตที่แตกต่างกัน
ปรับโครงสร้างภาคเกษตรให้มีความสามารถในการแข่งขัน โดยส่งเสริมให้เกษตรกรลงทุนปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตในระยะยาว ทั้งการเปลี่ยนชนิดพืช เทคโนโลยี ลงทุนปรับปรุงที่ดินเพื่อทำเกษตรมูลค่าเพิ่มสูง หรือเกษตรแปลงใหญ่ โดยให้เกษตรกรผู้เช่าและเจ้าของที่ดินร่วมกันลงทุนระยะยาวในรูปนิติบุคคลหรือในระบบพันธสัญญา เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน โดยรัฐบาลสนับสนุนด้านความรู้และการเงิน และขจัดอุปสรรคด้านกฎระเบียบต่างๆ เช่น กฎหมายเช่าที่ดินเกษตรและกฎหมายบังคับคดี ซึ่งทำให้ต้นทุนทางการเงินเพื่อลงทุนการเกษตรอยู่ในระดับสูง
2. เรื่องการปฏิรูปการศึกษา
ทีดีอาร์ไอระบุว่า รัฐบาล คสช.สามารถผลักดันให้เกิดผลสำเร็จในหลายเรื่อง เช่น
การตั้ง “กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” สร้างระบบสารสนเทศเพื่อระบุตัวตนเด็กยากไร้ รายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำ และจัดสรรเงินช่วยเหลือ
เด็กยากจน โดยได้จัดสรรไปแล้วราว 4 แสนคน
การจัดตั้ง “พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา” ขึ้นมาใน 6 พื้นที่ เพื่อใช้กลไกจังหวัดขับเคลื่อนการศึกษา ขยายผลนวัตกรรมการเรียนรู้รูปแบบใหม่ และเพิ่มอิสระให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ซึ่งเข้าร่วม
การออก พ.ร.บ. การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 เพื่อสร้างหลักประกันให้เด็กเล็กได้รับการดูแลพัฒนาการอย่างเหมาะสม
ทีดีอาร์ไอระบุว่า รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการ ดังนี้
เพิ่มทรัพยากรให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ให้สามารถลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้มากขึ้น
สนับสนุนการจัดการการศึกษารูปแบบใหม่ในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา 6 พื้นที่ซึ่งดำเนินการไปแล้ว โดยออกกฎระเบียบระดับรองเพื่อลดอุปสรรคในการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษา กระตุ้นให้หน่วยงานด้านการศึกษาของรัฐในพื้นที่ให้การสนับสนุน และส่งเสริมการประเมินผลการดำเนินงานบนฐานของข้อมูลจริง
เพิ่มการพัฒนาทักษะผู้อำนวยการโรงเรียนให้สามารถเป็น “ผู้นำวิชาการ” ที่ทำให้เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครู (PLC) ได้จริง และเพิ่มช่องทางในการจัดสรรเงินงบประมาณการพัฒนาครูโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ซึ่งจะทำให้ครูไม่ต้องออกนอกพื้นที่และสามารถร่วมพัฒนาโรงเรียนไปในทิศทางเดียวกันได้
ลดภาระจากการประเมิน โดยลดจำนวนโครงการต่างๆ ที่สร้างภาระการประเมินให้แก่ครูเพื่อคืนครูสู่ห้องเรียนเพิ่มขึ้น โดยสำรวจโครงการต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่และบูรณาการโครงการที่มีเป้าหมายคล้ายคลึงกันเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะโครงการด้านคุณธรรมและจริยธรรมที่ซ้ำซ้อนกันจำนวนมาก
3. เรื่องการคมนาคม
ทีดีอาร์ไอระบุว่า รัฐบาล คสช.สามารถขับเคลื่อนสำเร็จ เช่น
โครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งได้อนุมัติให้เริ่มก่อสร้างไปแล้ว 5 เส้นทาง เพิ่มเติมจากเส้นทางเดิมที่มีการก่อสร้างอยู่แล้ว ซึ่งจะมีผลให้มีการเปิดรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ อย่างน้อยปีละหนึ่งเส้นทาง ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปต่อเนื่องไปหลายปี
โครงการรถไฟทางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งได้อนุมัติให้เริ่มก่อสร้างไปแล้วหลายช่วง ซึ่งจะทำให้ระบบรถไฟระหว่างเมืองซึ่งเดิมเป็นทางเดี่ยว มีความจุและมีคุณภาพของบริการที่ดีมากขึ้นในอนาคต และคาดว่าจะทำให้เกิดการลงทุนในการก่อสร้างและงานระบบกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี ต่อเนื่องไปตลอด 3-4 ปีข้างหน้า
การจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะ ซึ่งสามารถย้ายจุดจอดรถตู้โดยสารระหว่างจังหวัดไปยังสถานีขนส่ง ซึ่งช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด แม้จะทำให้เกิดความไม่สะดวกของผู้ใช้บริการบางส่วน
การจำกัดอายุรถตู้โดยสารสาธารณะไว้ที่ 10 ปี และติดตั้ง GPS กับรถโดยสารประจำทางเพื่อกำกับดูแลด้านความเร็ว ซึ่งช่วยลดอุบัติเหตุร้ายแรงได้บางส่วน
สิ่งที่รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการ เช่น
วางกลไกให้ระบบรถไฟความเร็วสูงในเส้นทางต่างๆ สามารถใช้งานร่วมกันได้ เพื่อสร้างการประหยัดจากขนาด และเพิ่มประสิทธิภาพของบริการ, วางกลไกบริหารจัดการสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ เพื่อแก้ไขปัญหาค่าโดยสารที่จะมีราคาแพงในอนาคต, จัดระเบียบรถแท็กซี่และมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ตลอดจนเปิดเสรีบริการการใช้แอพพลิเคชั่นเรียกรถรับจ้างสาธารณะ ควบคู่ไปกับการปรับอัตราค่าโดยสารขั้นต่ำของรถแท็กซี่
4. เรื่องสวัสดิการสังคมและการลดความเหลื่อมล้ำ
ทีดีอาร์ไอระบุว่า รัฐบาล คสช.มีผลงานสำคัญ เช่น
การจัดทำโครงการ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ซึ่งมุ่งช่วยเหลือประชาชนยากจนแบบเจาะจง ประมาณ 14.5 ล้านคน โดยบูรณาการข้อมูลจากแหล่งต่างๆ จำนวนมาก
แทนการให้สวัสดิการถ้วนหน้าที่ใช้ในรัฐบาลก่อนหน้า (เช่น โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุถ้วนหน้า) ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์ในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ จากโครงการนี้มีส่วนช่วยลดภาระทางการเงินที่เป็นรายจ่ายประจำ ทำให้ผู้ถือบัตรสามารถวางแผนการใช้จ่ายระยะปานกลางได้ดีขึ้น
โครงการให้เงินอุดหนุนการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดในครอบครัวยากจน ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาวที่มีผลตอบแทนการลงทุนทางสังคมสูงมาก
การออก พ.ร.บ. ภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 ได้สำเร็จภายในเวลา 1 ปีหลังรับตำแหน่ง และออก พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ในช่วงปลายรัฐบาล ทั้งที่รัฐบาลก่อนหน้าไม่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ในความพยายามลดความเหลื่อมล้ำ แม้มาตรการนี้มีประสิทธิผลน้อย
ทีดีอาร์ไอระบุว่า รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการ ดังนี้
พัฒนาโครงการ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ต่อเนื่องไป โดยปรับปรุงรายละเอียดของโครงการตามผลการประเมิน ซึ่งควรดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ ในขณะเดียวกัน ควรใช้สวัสดิการแบบถ้วนหน้าสำหรับสวัสดิการที่สำคัญและมีผลตอบแทนในการลงทุนสูง เช่น สวัสดิการเด็กปฐมวัย
เร่งเตรียมความพร้อมของแรงงานกลุ่มเสี่ยง ทั้งการพัฒนาระบบเพื่อสร้างทักษะที่เหมาะสมกับประชากรกลุ่มเสี่ยง และเตรียมสร้างตาข่ายสังคม (Safety Net) เพื่อรองรับแรงงานที่ตกงานจากการตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
5. ทีดีอาร์ไอได้สรุปภาพรวมไว้อย่างน่าสนใจว่า “ตลอดระยะเวลา 5 ปีในการดำรงตำแหน่ง รัฐบาลประยุทธ์ได้สร้างผลงานที่สำเร็จออกมาเป็นรูปธรรมไว้หลายด้าน ริเริ่มโครงการใหม่ๆ ที่มีประโยชน์ต่อประเทศ ซึ่งสมควรได้รับการสานต่อ ในทางกลับกัน รัฐบาลก็ดำเนินนโยบายอีกหลายด้านที่ไม่ประสบความสำเร็จ หรือแม้กระทั่งก่อให้เกิดปัญหา ซึ่งเกิดขึ้นจากทั้งความเข้าใจผิด การกำหนดนโยบายโดยไม่ผ่านการปรึกษาหารืออย่างรอบด้าน การรวมศูนย์อำนาจ การใช้ระบบราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นหลักในการขับเคลื่อนนโยบาย โดยละเลยกลไกอื่นที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ตลอดจนการที่รัฐบาลถูกแทรกแซงโดยกลุ่มผลประโยชน์ นโยบายในกลุ่มหลังนี้สมควรได้รับการทบทวนและปรับปรุงให้ดีขึ้น หรือแม้กระทั่งยกเลิกไปโดยรัฐบาลใหม่”
สมควรที่รัฐบาลใหม่ นำโดยพลเอกประยุทธ์ จะได้พิจารณาประกอบการตัดสินใจต่อไป โดยยึดถือเอาประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติเป็นสำคัญ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี