ในหลวงรัชกาลที่ 10 ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณที่สำคัญประการหนึ่ง ที่น้อยคนจะกล่าวถึงก็คือ ทรงมีความสนพระทัยและทรงมีพระปรีชาญาณรอบรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของบ้านเมือง
นับแต่รับทรงราชย์ และเสด็จขึ้นครองราชย์หลังผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่ผ่านมา ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณให้อัญเชิญ “พระพุทธรูปสำคัญ” ของแผ่นดิน ที่พระปกติยากนัก ที่ประชาชนได้พบเห็น หรือมีโอกาสสักการะ ออกมาให้ประชาชนได้สักการะผ่านพิธีสวดมนต์บำเพ็ญพระราชกุศล ที่ลานพระราชวังดุสิต
อย่างเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2562 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพิธีมหามงคลบำเพ็ญพระราชกุศลเจริญพระพุทธมนต์อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรและเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระราชกุศล และถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคมนี้ โดยมีสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหมคุตฺโต) วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็นประธานสงฆ์ พร้อมพระสงฆ์ รวม 191 รูป นำสวดเจริญพระพุทธมนต์
ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พล.อ.ต.สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง อัญเชิญ “พระคันธารราษฎร์ ปางขอฝน ในรัชกาลที่ 10” มาประดิษฐานเป็นประธานในพิธี เพื่อให้ประชาชนได้สักการะเป็นมงคลแก่ชีวิต ประเทศชาติ และสืบสานพระราชปณิธาน“ธรรมราชินี” ของสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วย
พระคันธารราษฎร์ เป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง แบบวีราสนะแสดงปางขอฝน ด้วยการยกพระหัตถ์ขวา ขึ้นกวักเรียกฝน และหงายพระหัตถ์ซ้ายรองรับฝน พระพุทธรูปมีพระพักตร์ค่อนข้างกลม พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์เรียว กับพระกรรณยาวเกือบจรดพระอังสา พระเศียรประดับด้วยขมวดพระเกศาเรียงตามแนวตั้ง มีเกตุมาลา และรัศมีรูปดอกบัวตูมเกลี้ยง องค์พระพุทธรูปครองอุตราสงค์ ห่มเฉียงเปิดพระอังสามีชายอุตราสงค์พาดคลุมบนพระอังสาซ้าย พระพุทธรูปประทับนั่ง เหนือปัทมาสน์ ประกอบด้วย กลีบบัวคว่ำ และกลีบบัวหงายเหนือฐานแข้งสิงห์
ประวัติเล่าว่า ในแคว้นคันธาระ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย มีพระยานาคตนหนึ่ง ชื่อ เอลาปัตตร์ หรือ อรวาล แต่เดิมนั้น พระยานาคตนนี้ ได้ทำให้เกิดอุทกภัยในแคว้นนั้น แต่ต่อมาเมื่อหันมานับถือพุทธศาสนาแล้ว จึงเป็นผู้ให้น้ำเพื่อทำให้แคว้นนั้นเกิดความอุดมสมบูรณ์ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกพระพุทธรูปปางขอฝนว่า “พระคันธารราษฎร์” แต่นั้นมา
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สถาปนาพระคันธารราษฎร์ ขึ้นองค์หนึ่ง เพื่อประดิษฐานเป็นประธานในพระราชพิธีพิรุณศาสตร์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นเมื่อปีเถาะ เบญจศก จ.ศ. 1145 (พ.ศ. 2326) มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ขวายกเสมอพระอุระในท่ากวัก พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลาเป็นกิริยารับน้ำ ลักษณะพระพักตร์ค่อนข้างกลม พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบต่ำโดยลงยาสีเหมือนจริง พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์บางเรียว พระกรรณยาว เกือบจรดพระอังสา ขมวดพระเกศาทำเป็นรูปก้นหอยเรียงตลอดถึงพระเมาลี พระรัศมีทำเป็นรูปดอกบัวตูม ครองจีวรห่มเฉียง เปิดพระอังสาขวามีริ้วผ้าที่ด้านหน้าองค์พระพุทธรูป รองรับด้วยฐานบัวคว่ำบัวหงายและฐานสิงห์ ลักษณะทั้งหมด เป็นพระราชดำริที่โปรดให้ถ่ายแบบ มาจากพระพุทธรูปในสมัยโบราณ เดิมเป็นพระพุทธรูปสำริดลงรักปิดทอง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้กะไหล่ทอง และติดเพชรเม็ดใหญ่เป็นพระอุณาโลมที่พระนลาฏ ปัจจุบันไม่มีเพชรที่พระนลาฏ
พระคันธารราษฎร์นี้ เดิมคงประดิษฐานในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และสร้างปูชนียสถานเพิ่มเติม ได้สร้างหอพระคันธารราษฎร์ ขึ้นที่มุมระเบียงด้านหน้าพระอุโบสถ เป็นอาคารขนาดเล็กยอดปรางค์ เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป และเทวรูปสำคัญที่ใช้ในพระราชพิธีพิรุณศาสตร์ พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เรียกนามอาคารตามนามพระพุทธรูปว่า “หอพระคันธารราษฎร์”
ครั้นในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สถาปนาพระคันธารราษฎร์ ขึ้นอีกองค์หนึ่ง เพื่อพระราชทานความสวัสดีแก่ประชาชน ให้ได้รับผลอันพึงประสงค์จากเกษตรกรรมและเพื่อความอุดมสมบูรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเททองหล่อพระคันธารราษฎร์ รัชกาลปัจจุบัน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2562
จากนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เชิญออกประดิษฐานเป็นประธานในพระราชพิธีพืชมงคล ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เชิญออกประดิษฐานเป็นประธานในพิธีมหามงคลนี้ เพื่อพสกนิกรทั้งหลายได้กราบสักการะเป็นสวัสดิมงคลแก่ชีวิตและเพื่อความอุดมสมบูรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย ในช่วงเข้าสู่ฤดูฝนปีนี้ เป็นครั้งแรก
พระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง ที่มีพระมหากรุณาธิคุณให้อัญเชิญออกมาให้ประชาชนชาวไทยได้สักการะคือ “พระพุทธมณีรัตนปฏิมากร” หรือ “พระแก้วมรกตน้อย” พระพุทธปฏิมาองค์นี้ ได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญมาประกอบในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2560
“พระพุทธมณีรัตนปฏิมากร” หรือ “พระแก้วมรกตน้อย” นี้เป็นพระพุทธรูปสำคัญของแผ่นดิน สร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยเหตุที่พระองค์ท่านมีพระราชดำริว่าพระราชวังสวนดุสิตเป็นพระราชวังสำคัญ เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกแห่งหนึ่ง สมควรจะมีเจติยสถานอันประเสริฐ ไว้เป็นที่ทรงกระทำสักการบูชา เช่น พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ซึ่งประดิษฐานอยู่ใน พระบรมมหาราชวัง เพื่อเป็นเครื่องเชิดชูพระราชจริยวัตรในฐานะพระองค์เป็นพระพุทธศาสนูปถัมภกอันยิ่ง นอกจากนั้นแล้ว ยังทรงสร้างขึ้น เพื่อ “เป็นราชสิริได้ทรงสักการบูชา แลเป็นศรีพระนคร อีกทั้งประชาชน ในพระราชอาณาจักรทั่วไป”
พระพุทธมณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกตน้อย สลักจากหินหยกรัสเซียสีเขียวเข้มทึบ (Nephrite) พุทธลักษณะได้แบบอย่างจากพระพุทธสิหิงค์ หรือพระสิงห์จำลองของล้านนาที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเรียกว่า “พระพุทธรูปสมัยเชียงแสนชั้นแรก”
เป็นพระพุทธรูปประทับสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ประทับบนฐานบัวคว่ำบัวหงาย ตกแต่งด้วยเกสรบัว พระศกเป็นก้นหอยใหญ่ และพระเกตุมาลาเป็นดอกบัวตูม ตามที่นิยมนับถือกันในสมัยนั้น ว่า พระพุทธรูปประทับสมาธิเพชร ปางมารวิชัย โดยเฉพาะที่ได้จากหัวเมืองทางเหนืออันเป็นแหล่งช่างเชียงแสนว่าเป็นพระดี
มีการปรับปรุงพุทธลักษณะให้สมจริงมากขึ้น ทั้งพระพักตร์ พระวรกาย และจีวรห่มเฉียงเป็นริ้วเหมือนผ้าตามธรรมชาติ ทรงคล้องสังวาลเฉียงพระอังสะซ้าย 2 องค์ จำลองแบบจากพระมหาสังวาลนพรัตน์ และพระสังวาลพระนพ (ซึ่งนับเป็นเครื่องต้นสำหรับพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ)
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ไปว่าจ้างห้างคาร์ล ฟาแบร์เช่ (Carl Fabergee) ที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซียสลักพระพุทธรูปด้วยหยกสีเขียว แต่เมื่อเจียระไนแล้วเกิดการชำรุด ขึ้นจึงต้องหาหยกก้อนใหม่ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้ในเวลานั้น มาสลักเป็นพระพุทธรูปตามตัวอย่างที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ส่งไปเป็นต้นแบบ
เมื่อสลักแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2457 (ค.ศ. 1914) ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้นในยุโรป แต่ด้วยพุทธานุภาพของพระพุทธรูป จึงดลบันดาลให้เรือเดินทางมาถึงกรุงเทพมหานคร ได้โดยสวัสดิภาพ ในปีเดียวกันพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สมโภชพระพุทธรูปและถวายพระราชพิธีพุทธาภิเษกในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมกับ ถวายพระนามพระพุทธรูปว่า “พระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกตน้อย)” ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีพุทธาภิเษกสมโภชพระพุทธมณีรัตนปฏิมากร ขึ้นระหว่างวันที่ 25-26 ธันวาคม พ.ศ. 2457 มีขั้นตอนคล้ายกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
วันแรกของการพระราชพิธีได้เชิญพุทธสิงหาสน์ของพระพุทธรูปประดิษฐานบนธรรมาสน์ศิลาภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ให้ราชบัณฑิตทำพิธีโรยแป้งและกล่าวคาถาบูชาพุทธสิงหาสน์ตามวิธีอาสนบูชา
วันต่อมาจึงเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานบนตั่งไม้อุทุมพรเหนือแผ่นไกรสรราชสีห์ปักดิ้นเลื่อมไว้บนพุทธสิงหาสน์ ผินพระพักตร์พระพุทธรูปไปยังทิศตะวันออก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ถวายน้ำอภิเษกสรงพระพุทธรูปด้วยพระเต้าเบญจคัพย์รัชกาลที่ 1 และพระมหาสังข์ พราหมณ์ถวายสรงด้วยพระมหาสังข์ 3 และพระมหาสังข์ 5 ถวายพระสังวาลธุรำ พระนพ และพระสังวาลแฝดนพรัตน์ และทรงเจิมแล้ว พราหมณ์โหรตาจารย์เชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนพุทธสิงหาสน์ พระราชทานพระมหาเศวตฉัตร 9 ชั้นให้พราหมณ์พฤฒิบาศเชิญขึ้นปักถวายพระพุทธรูป
ขณะนั้นเจ้าพนักงานยิงปืนพระฤกษ์ มหาฤกษ์มหาชัย มหาจักร มหาปราบยุค 10 นัดตามกำลังวัน ครั้นทรงจุดธูปเทียนเงินทองถวายสักการบูชา พราหมณ์โหรตาจารย์จึงกล่าวมนต์เปิดทวารศิวาลัยไกรลาส 1 จบ พราหมณ์เป่าสังข์แล้วเจ้าพนักงานจึงประโคม
เวลาบ่ายจึงเวียนเทียนสมโภชเป็นอันเสร็จการ จากนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์สามเณร ข้าราชการ และประชาชน เข้ามาสักการบูชาเป็นเวลา 3 วัน นับจำนวนราษฎรที่มาสักการบูชาได้กว่า 20,000 คน (ราชกิจจานุเบกษา 2547)
พระแก้วมรกตน้อยมีพระเศียรคล้ายกับพระพุทธรูปในหมวดพระพุทธสิหิงค์ คือมีพระศกเป็นขมวดใหญ่ มีพระเมาลีทรงสูง และรัศมีเป็นดอกบัวตูม แต่พระวรกายและจีวรห่มดองแบบพระภิกษุมหานิกายสลักให้ ดูเป็นธรรมชาติ ประทับเหนือเกสรบนฐานบัวคว่ำบัวหงาย และที่เป็นพิเศษของพระพุทธรูปองค์นี้ก็คือ ปรากฏยี่ห้อของห้างฟาแบร์เช่สลักไว้ที่ใต้ฐาน พระแก้วมรกตน้อยจึงเป็นพระพุทธรูป องค์แรกของไทยที่มีชื่อผู้สร้างและปีที่สร้างตามธรรมเนียมของงานศิลปะตะวันตก ซึ่งแสดงให้เห็น ค่านิยมของชาวตะวันตกที่เข้ามาผสมผสานกับขนบประเพณี และจารีตของไทยได้อย่างชัดเจนที่สุด
พระพุทธมณีรัตนปฏิมากรนี้ ได้รับการอัญเชิญมาประดิษฐานในพระราชพิธีใหญ่และสำคัญมาแล้วหลายครั้ง เช่น ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้อัญเชิญประดิษฐานคู่กับพระสัมพุทธพรรณีภายในพระที่นั่งบุษบกมาลามหาจักรพรรดิพิมาน ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
และเมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงประกอบพระราชพิธีทรงพระผนวชตามโบราณราชประเพณี เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ณ พระอุโบสถพุทธรัตนสถาน ได้อัญเชิญมาประดิษฐานด้านหน้าบุษบกทรงพระพุทธบุษยรัตน์จักรพรรดิพิมลมณีมัย (พระแก้วผลึก) เป็นประธานท่ามกลางหมู่สงฆ์ ด้วย (ราชกิจจานุเบกษา 2499)
อันที่จริง ยังมีพระพุทธรูปสำคัญคู่แผ่นดินอีกหลายองค์ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้อัญเชิญออกมา หลายท่านอาจรู้สึกเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ที่จริงแล้ว เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะนี่เป็นเครื่องยืนยันว่า ทรงมีความละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของอาณาประชาราษฎร และทรงมีพระราชจริยวัตรด้านการศาสนาที่ลึกซึ้ง เข้าใจความรู้สึกของเหล่าพุทธมามกะทั้งหลาย ที่ผูกพันศรัทธาอยู่กับองค์พระปฏิมาของแผ่นดิน
ยังมิรวมถึงการที่ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย แต่งตั้ง “สมเด็จพระสังฆราช” องค์ปัจจุบัน ที่ประชาชนชาวพุทธทั้งแผ่นดินต่างแซ่ซ้องสาธุการ และการโปรดเกล้าแต่งตั้งเลื่อนสมณศักดิ์พระสงฆ์รูปสำคัญๆ ของแผ่นดินที่ประกาศออกมาล่าสุด
สะท้อนให้เราชาวไทยรู้ว่า ทรงมีพระปรีชาสามารถและใส่พระทัยอย่างยิ่ง ในการส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้ยั้งยืนยง ด้วยทรงส่งเสริม “พระดี” และดึงอาณาประชาราษฎรกลับสู่ความผูพันศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาอย่างแนบแน่นอีกครั้งขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี