วันพฤหัสบดี ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เป็นที่ยอมรับกันว่า เศรษฐกิจไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกำลังซื้อของชาวบ้าน โดยเฉพาะที่ผูกอยู่กับราคาสินค้าเกษตรบางตัว เช่น ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ฯลฯ กำลังซื้อส่วนนี้หายไปเยอะ เพราะราคาตกต่ำ ด้วยเหตุปัจจัยหลักจากตลาดโลก (กระนั้น ราคาปาล์มน้ำมันในบ้านเรา ก็ยังสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน)
เรื่องนี้ เราได้เห็นท่าทีนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กำชับให้ทีมเศรษฐกิจเร่งแก้ปัญหาระดับเศรษฐกิจจุลภาคไปแล้ว
แต่ในภาพรวม ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจมหภาคสำคัญๆ ของประเทศไทย มีทิศทางดีขึ้นอย่างมาก
น่าอนาถใจ นักการเมืองไทยจำนวนหนึ่ง อาศัยเครือข่ายในสังคมออนไลน์ ปลุกปั่นนำเสนอข้อมูลครึ่งเดียว โดยเจตนาบิดเบือน โจมตี เพื่อหวังแค่ดิสเครดิตฝ่ายรัฐบาล แล้วก็นำไปขยายต่อ โดยผสมโรงกับเฟคนิวส์ที่เขย่าขวัญคนอ่านในทำนองว่าเศรษฐกิจกำลังจะหายนะแน่แล้ว โรงงานปิดตัว ธุรกิจเจ๊ง อย่าได้ใช้จ่ายเงิน เก็บเงินไว้ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นการเอาข่าวเท็จมานำเสนอ เช่น เอาข่าวเก่า เอาข่าวมั่ว เอาข่าวจากต่างประเทศมาผสมปนเปเละเทะไปหมด ฯลฯ
แทนที่ทุกฝ่ายจะมุ่งสร้างความเชื่อมั่นและความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในยามนี้
แม้แต่ข้อมูลที่เป็นด้านดี ด้านบวก ก็ยังมีคนชังชาติกลุ่มหนึ่งนำไปบิดเบือนให้คำอธิบายที่เป็นได้อีกต่างหาก
เอากะมันสิ!
ยกตัวอย่าง
1. ตลาดหุ้นจ่ายปันผลเยอะ ก็กล่าวหาเหมารวมว่า เพราะเอกชนไม่ลงทุนแล้ว เศรษฐกิจแย่
เหลือเชื่อมาก (แต่ก็มีคนพร้อมเชื่อ โดยไม่แยกแยะ)
ในความเป็นจริง ผลประกอบการเป็นตัวบ่งชี้ถึงผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ก็คือผลตอบแทนการลงทุนในอดีต ที่กำลังออกดอกออกผลในปัจจุบัน
การจ่ายปันผลสูง สะท้อนกำไรจากการทำธุรกิจ ส่วนการลงทุนนั้น นักลงทุนเขาจะมีการวางแผน มีการพิจารณาตัวแปรปัจจัยอีกหลายหลาก และดัชนีที่สะท้อนการลงทุนช่วงที่ผ่านมา ก็จะเห็นชัดเจนว่า เอกชนมีการลงทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปริมาณการลงทุนเอกชนในบัญชีรายได้รวมของประเทศมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นทุกปี สูงสุดที่ 5 แสนล้านบาท
.jpg)
2. การผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเปิดให้มีการประมูลแข่งขัน ถูกบิดเบือนโจมตีว่าเป็นการเอื้อแต่กับทุนใหญ่
ความจริง คือ ในยุคนี้ มีตัวละครเอกชนขนาดกลางเข้ามาคว้างานประมูลโครงการขนาดใหญ่มากกว่าทุกยุค ยกตัวอย่าง เช่น โครงการรถไฟทางคู่ในหลายสัญญา เป็นต้น
ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ที่เคยติดตามวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด ก็เคยเอ่ยปากชมในเรื่องนี้
บอกว่า “เยี่ยม! ประมูลรถไฟทางคู่ได้ผล ผู้รับเหมาขนาดกลางเบียดเข้าเส้นชัย
หลังจากที่ผมได้ทักท้วงการประมูลรถไฟทางคู่ว่ามีความไม่ชอบมาพากล ปรากฏว่าได้มีการยกเลิกการประมูล พร้อมทั้งมีการปรับแก้การประมูลดังนี้ 1.ปรับลดราคากลางลงให้เหมาะสม 2.ปรับแก้ข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง (Terms of Reference หรือ ทีโออาร์) ให้บริษัทผู้รับเหมาขนาดกลางเข้าร่วมประมูลได้ด้วย
ผลจากการปรับแก้ดังกล่าว ทำให้การประมูลใหม่มีการแข่งขันกันมากกว่าเดิม โดยเฉพาะโครงการแรก หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งบริษัทที่ชนะการประมูลเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางถึงประมาณ 20% แม้ว่าโครงการต่อๆ มา ผู้ชนะการประมูลเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางไม่มาก แต่ก็ทำให้บริษัทผู้รับเหมาขนาดกลางชนะการประมูลได้บ้าง ต่างจากเดิมที่ผู้ชนะการประมูลเป็นผู้รับเหมาขนาดใหญ่เท่านั้น
ถึงเวลานี้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้ประมูลเสร็จไปแล้ว 9 โครงการ ปรากฏว่าสามารถประหยัดงบประมาณได้ถึงจำนวนประมาณ 8,500 ล้านบาท ตัวเลขนี้เป็นผลรวมจากการปรับลดราคากลางและการประมูลต่ำกว่าราคากลาง ในจำนวน 9 โครงการดังกล่าว พบว่ามีผู้รับเหมาขนาดกลางสามารถชนะการประมูลได้ 1 โครงการ และเข้าร่วมเป็นกิจการร่วมค้า หรือ Joint Venture กับผู้รับเหมาขนาดใหญ่ได้อีก 1 โครงการ ทำให้ผู้รับเหมาขนาดกลางมีผลงานอย่างเป็นทางการว่าได้ผ่านงานการก่อสร้างรถไฟทางคู่มาแล้ว ซึ่งจะช่วยให้สามารถยกฐานะเป็นผู้รับเหมาขนาดใหญ่ได้ในอนาคตต่อไป ต่างจากเดิมที่ผู้รับเหมาขนาดกลางไม่สามารถเข้าประมูลได้ ต้องรับงานจากผู้รับเหมาขนาดใหญ่ในฐานะผู้รับเหมาย่อย ทำให้ไม่มีผลงานอย่างเป็นทางการ เพราะผลงานจะตกเป็นของผู้รับเหมาขนาดใหญ่ และที่สำคัญ จากการที่ผู้รับเหมาขนาดกลางสามารถเข้าร่วมประมูลได้โดยตรง ทำให้ได้รับงานในราคาที่ดีกว่าเป็นผู้รับเหมาย่อยซึ่งต้องรับงานต่อจากผู้รับเหมาขนาดใหญ่
อีกไม่นานจะมีการประมูลทางคู่อีกหลายสาย วงเงินกว่า 4 แสนล้านบาท คาดว่าผู้รับเหมาขนาดกลางจะสามารถเข้าร่วมประมูลได้มากขึ้น การแข่งขันก็จะมีมากขึ้น หากผู้รับเหมาขนาดกลางสามารถชนะการประมูลได้มากขึ้น ก็จะพัฒนาเป็นผู้รับเหมาขนาดใหญ่ ทำให้มีจำนวนผู้รับเหมาขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 4-5 บริษัทเท่านั้น ถึงวันนั้น หวังว่าการแข่งขันก็จะมีมากตามขึ้นด้วย
ผลงานที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้เป็นผลมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ใช้อำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 เพื่อปรับปรุงการบริหารงานของ ร.ฟ.ท. และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง หรือซูเปอร์บอร์ดขึ้นมาเพื่อกำกับ เร่งรัด ติดตาม และตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐที่มีวงเงินตั้งแต่ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป ให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยให้ความสำคัญกับการประมูลก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ ทำให้มีการทบทวนราคากลางและจัดทำทีโออาร์ใหม่ให้เกิดความเป็นธรรม เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้รับเหมาขนาดกลางสามารถเข้าร่วมประมูลได้
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงขอเชียร์ให้ท่านนายกฯ ประยุทธ์ สั่งการให้ ร.ฟ.ท.รีบเร่งเดินหน้าก่อสร้างรถไฟทางคู่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศโดยด่วน...”
ส่วนที่เห็นว่าทุนใหญ่ๆ ยังชนะอยู่ นั่นก็เป็นผลจากการแข่งขันเสนอราคาในโครงการนั้น แล้วยื่นข้อเสนอชนะ
มีบางโครงการ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มีเงื่อนไขทีโออาร์ที่เอื้อทุนเดิมหรือไม่ เช่น โครงการประมูลดิวตี้ฟรี แต่เมื่อเปิดซองก็ปรากฏว่าข้อเสนอของคู่แข่งที่เป็นทุนใหญ่จากต่างแดนก็ยื่นข้อเสนอผลตอบแทนต่ำกว่าทุนเก่าที่เป็นชนะแบบไม่เห็นฝุ่น แล้วจะไม่ให้ทุนเก่าชนะได้อย่างไร?
สงสัยว่า จะต้องออกข้อห้าม มิให้บริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศประมาณ 5-10 บริษัทที่ประกอบการอยู่เดิม ห้ามเข้าร่วมประมูล ปล่อยให้เอกชนหน้าใหม่ หรือ
ต่างชาติเข้ามาเป็นคู่สัญญาโครงการลงทุนขนาดใหญ่เท่านั้น จึงจะถูกต้องชอบธรรม อย่างนั้นหรือ?
3. นักการเมืองประเภท “มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ” กลุ่มเดียวกัน ยังพยายามบิดเบือนโจมตี ว่าเศรษฐกิจกำลังจะล่มสลาย เพราะผลพวงของรัฐประหาร คสช. เพื่อหวังใช้ประเด็นนี้ไปดิสเครดิตรัฐบาล และอดีตหัวหน้า คสช. จะได้ปลุกปั่นกระแสแก้รัฐธรรมนูญที่เป็นผลพวงของรัฐประหาร ล้มล้างรัฐบาลที่เป็นผลพวงจากการเลือกตั้งหลังรัฐประหารต่อไปอีก ทั้งๆ ที่ รัฐธรรมนูญไม่ใช่สาเหตุของปัญหาเศรษฐกิจเลย
ยิ่งกว่านั้น ตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ก็ประจักษ์ชัดด้วยตัวเองว่า ก่อนรัฐประหารเศรษฐกิจติดลบอย่างไร แล้วหลังจากนั้นสถานการณ์กลับมาเป็นบวก ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไร
.jpg)
ล่าสุด บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (Moody’s Investors Service : Moody’s) ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) จากระดับมีเสถียรภาพ เป็น “เชิงบวก” และคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Credit Rating) ที่ Baa1 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของผู้ออกตราสารหนี้
เนื่องจากมูดี้ส์มองว่าสถานะการคลังของไทยมีแนวโน้มที่ดี มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการลงทุนทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ
เช่นเดียวกับบริษัท ฟิทช์ เรทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ได้ปรับเพิ่มแนวโน้มประเทศไทย รวมทั้งระบบการเงินของไทยและรัฐบาลใหม่ขึ้นเป็น “บวก” จากระดับ “คงที่” ไปก่อนหน้านั้น
สารส้ม

เปิดใจ! อาสากู้ภัยนำข้าวแจกชาวบ้าน ถูกน้ำพัดหาย ยันไม่ท้อ กลับมาช่วยต่อ ส่งข้าวกล่องใหม่ 200 ชุด
'HP'เตรียมปลดพนักงานครั้งใหญ่6,000ตำแหน่งทั่วโลก หวังลดค่าใช้จ่ายรับยุคของAI
โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ 'เขมวันต์ สงคราม' เป็นพลเรือเอก และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
หมอสมเกียรติ คลินิกดังกระบี่ เปิดคลินิกรักษาฟรี2วัน ส่งต่อทุกบาทช่วยน้ำท่วม
‘อนุทิน’เยี่ยมศูนย์ อพยพ ม.อ.หาดใหญ่ สั่งเร่งระดมช่วยคนติดค้าง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี