เป็นที่ยอมรับกันว่า เศรษฐกิจไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกำลังซื้อของชาวบ้าน โดยเฉพาะที่ผูกอยู่กับราคาสินค้าเกษตรบางตัว เช่น ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ฯลฯ กำลังซื้อส่วนนี้หายไปเยอะ เพราะราคาตกต่ำ ด้วยเหตุปัจจัยหลักจากตลาดโลก (กระนั้น ราคาปาล์มน้ำมันในบ้านเรา ก็ยังสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน)
เรื่องนี้ เราได้เห็นท่าทีนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กำชับให้ทีมเศรษฐกิจเร่งแก้ปัญหาระดับเศรษฐกิจจุลภาคไปแล้ว
แต่ในภาพรวม ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจมหภาคสำคัญๆ ของประเทศไทย มีทิศทางดีขึ้นอย่างมาก
น่าอนาถใจ นักการเมืองไทยจำนวนหนึ่ง อาศัยเครือข่ายในสังคมออนไลน์ ปลุกปั่นนำเสนอข้อมูลครึ่งเดียว โดยเจตนาบิดเบือน โจมตี เพื่อหวังแค่ดิสเครดิตฝ่ายรัฐบาล แล้วก็นำไปขยายต่อ โดยผสมโรงกับเฟคนิวส์ที่เขย่าขวัญคนอ่านในทำนองว่าเศรษฐกิจกำลังจะหายนะแน่แล้ว โรงงานปิดตัว ธุรกิจเจ๊ง อย่าได้ใช้จ่ายเงิน เก็บเงินไว้ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นการเอาข่าวเท็จมานำเสนอ เช่น เอาข่าวเก่า เอาข่าวมั่ว เอาข่าวจากต่างประเทศมาผสมปนเปเละเทะไปหมด ฯลฯ
แทนที่ทุกฝ่ายจะมุ่งสร้างความเชื่อมั่นและความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในยามนี้
แม้แต่ข้อมูลที่เป็นด้านดี ด้านบวก ก็ยังมีคนชังชาติกลุ่มหนึ่งนำไปบิดเบือนให้คำอธิบายที่เป็นได้อีกต่างหาก
เอากะมันสิ!
ยกตัวอย่าง
1. ตลาดหุ้นจ่ายปันผลเยอะ ก็กล่าวหาเหมารวมว่า เพราะเอกชนไม่ลงทุนแล้ว เศรษฐกิจแย่
เหลือเชื่อมาก (แต่ก็มีคนพร้อมเชื่อ โดยไม่แยกแยะ)
ในความเป็นจริง ผลประกอบการเป็นตัวบ่งชี้ถึงผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ก็คือผลตอบแทนการลงทุนในอดีต ที่กำลังออกดอกออกผลในปัจจุบัน
การจ่ายปันผลสูง สะท้อนกำไรจากการทำธุรกิจ ส่วนการลงทุนนั้น นักลงทุนเขาจะมีการวางแผน มีการพิจารณาตัวแปรปัจจัยอีกหลายหลาก และดัชนีที่สะท้อนการลงทุนช่วงที่ผ่านมา ก็จะเห็นชัดเจนว่า เอกชนมีการลงทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปริมาณการลงทุนเอกชนในบัญชีรายได้รวมของประเทศมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นทุกปี สูงสุดที่ 5 แสนล้านบาท
2. การผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเปิดให้มีการประมูลแข่งขัน ถูกบิดเบือนโจมตีว่าเป็นการเอื้อแต่กับทุนใหญ่
ความจริง คือ ในยุคนี้ มีตัวละครเอกชนขนาดกลางเข้ามาคว้างานประมูลโครงการขนาดใหญ่มากกว่าทุกยุค ยกตัวอย่าง เช่น โครงการรถไฟทางคู่ในหลายสัญญา เป็นต้น
ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ที่เคยติดตามวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด ก็เคยเอ่ยปากชมในเรื่องนี้
บอกว่า “เยี่ยม! ประมูลรถไฟทางคู่ได้ผล ผู้รับเหมาขนาดกลางเบียดเข้าเส้นชัย
หลังจากที่ผมได้ทักท้วงการประมูลรถไฟทางคู่ว่ามีความไม่ชอบมาพากล ปรากฏว่าได้มีการยกเลิกการประมูล พร้อมทั้งมีการปรับแก้การประมูลดังนี้ 1.ปรับลดราคากลางลงให้เหมาะสม 2.ปรับแก้ข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง (Terms of Reference หรือ ทีโออาร์) ให้บริษัทผู้รับเหมาขนาดกลางเข้าร่วมประมูลได้ด้วย
ผลจากการปรับแก้ดังกล่าว ทำให้การประมูลใหม่มีการแข่งขันกันมากกว่าเดิม โดยเฉพาะโครงการแรก หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งบริษัทที่ชนะการประมูลเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางถึงประมาณ 20% แม้ว่าโครงการต่อๆ มา ผู้ชนะการประมูลเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางไม่มาก แต่ก็ทำให้บริษัทผู้รับเหมาขนาดกลางชนะการประมูลได้บ้าง ต่างจากเดิมที่ผู้ชนะการประมูลเป็นผู้รับเหมาขนาดใหญ่เท่านั้น
ถึงเวลานี้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้ประมูลเสร็จไปแล้ว 9 โครงการ ปรากฏว่าสามารถประหยัดงบประมาณได้ถึงจำนวนประมาณ 8,500 ล้านบาท ตัวเลขนี้เป็นผลรวมจากการปรับลดราคากลางและการประมูลต่ำกว่าราคากลาง ในจำนวน 9 โครงการดังกล่าว พบว่ามีผู้รับเหมาขนาดกลางสามารถชนะการประมูลได้ 1 โครงการ และเข้าร่วมเป็นกิจการร่วมค้า หรือ Joint Venture กับผู้รับเหมาขนาดใหญ่ได้อีก 1 โครงการ ทำให้ผู้รับเหมาขนาดกลางมีผลงานอย่างเป็นทางการว่าได้ผ่านงานการก่อสร้างรถไฟทางคู่มาแล้ว ซึ่งจะช่วยให้สามารถยกฐานะเป็นผู้รับเหมาขนาดใหญ่ได้ในอนาคตต่อไป ต่างจากเดิมที่ผู้รับเหมาขนาดกลางไม่สามารถเข้าประมูลได้ ต้องรับงานจากผู้รับเหมาขนาดใหญ่ในฐานะผู้รับเหมาย่อย ทำให้ไม่มีผลงานอย่างเป็นทางการ เพราะผลงานจะตกเป็นของผู้รับเหมาขนาดใหญ่ และที่สำคัญ จากการที่ผู้รับเหมาขนาดกลางสามารถเข้าร่วมประมูลได้โดยตรง ทำให้ได้รับงานในราคาที่ดีกว่าเป็นผู้รับเหมาย่อยซึ่งต้องรับงานต่อจากผู้รับเหมาขนาดใหญ่
อีกไม่นานจะมีการประมูลทางคู่อีกหลายสาย วงเงินกว่า 4 แสนล้านบาท คาดว่าผู้รับเหมาขนาดกลางจะสามารถเข้าร่วมประมูลได้มากขึ้น การแข่งขันก็จะมีมากขึ้น หากผู้รับเหมาขนาดกลางสามารถชนะการประมูลได้มากขึ้น ก็จะพัฒนาเป็นผู้รับเหมาขนาดใหญ่ ทำให้มีจำนวนผู้รับเหมาขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 4-5 บริษัทเท่านั้น ถึงวันนั้น หวังว่าการแข่งขันก็จะมีมากตามขึ้นด้วย
ผลงานที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้เป็นผลมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ใช้อำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 เพื่อปรับปรุงการบริหารงานของ ร.ฟ.ท. และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง หรือซูเปอร์บอร์ดขึ้นมาเพื่อกำกับ เร่งรัด ติดตาม และตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐที่มีวงเงินตั้งแต่ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป ให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยให้ความสำคัญกับการประมูลก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ ทำให้มีการทบทวนราคากลางและจัดทำทีโออาร์ใหม่ให้เกิดความเป็นธรรม เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้รับเหมาขนาดกลางสามารถเข้าร่วมประมูลได้
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงขอเชียร์ให้ท่านนายกฯ ประยุทธ์ สั่งการให้ ร.ฟ.ท.รีบเร่งเดินหน้าก่อสร้างรถไฟทางคู่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศโดยด่วน...”
ส่วนที่เห็นว่าทุนใหญ่ๆ ยังชนะอยู่ นั่นก็เป็นผลจากการแข่งขันเสนอราคาในโครงการนั้น แล้วยื่นข้อเสนอชนะ
มีบางโครงการ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มีเงื่อนไขทีโออาร์ที่เอื้อทุนเดิมหรือไม่ เช่น โครงการประมูลดิวตี้ฟรี แต่เมื่อเปิดซองก็ปรากฏว่าข้อเสนอของคู่แข่งที่เป็นทุนใหญ่จากต่างแดนก็ยื่นข้อเสนอผลตอบแทนต่ำกว่าทุนเก่าที่เป็นชนะแบบไม่เห็นฝุ่น แล้วจะไม่ให้ทุนเก่าชนะได้อย่างไร?
สงสัยว่า จะต้องออกข้อห้าม มิให้บริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศประมาณ 5-10 บริษัทที่ประกอบการอยู่เดิม ห้ามเข้าร่วมประมูล ปล่อยให้เอกชนหน้าใหม่ หรือ
ต่างชาติเข้ามาเป็นคู่สัญญาโครงการลงทุนขนาดใหญ่เท่านั้น จึงจะถูกต้องชอบธรรม อย่างนั้นหรือ?
3. นักการเมืองประเภท “มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ” กลุ่มเดียวกัน ยังพยายามบิดเบือนโจมตี ว่าเศรษฐกิจกำลังจะล่มสลาย เพราะผลพวงของรัฐประหาร คสช. เพื่อหวังใช้ประเด็นนี้ไปดิสเครดิตรัฐบาล และอดีตหัวหน้า คสช. จะได้ปลุกปั่นกระแสแก้รัฐธรรมนูญที่เป็นผลพวงของรัฐประหาร ล้มล้างรัฐบาลที่เป็นผลพวงจากการเลือกตั้งหลังรัฐประหารต่อไปอีก ทั้งๆ ที่ รัฐธรรมนูญไม่ใช่สาเหตุของปัญหาเศรษฐกิจเลย
ยิ่งกว่านั้น ตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ก็ประจักษ์ชัดด้วยตัวเองว่า ก่อนรัฐประหารเศรษฐกิจติดลบอย่างไร แล้วหลังจากนั้นสถานการณ์กลับมาเป็นบวก ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไร
ล่าสุด บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (Moody’s Investors Service : Moody’s) ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) จากระดับมีเสถียรภาพ เป็น “เชิงบวก” และคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Credit Rating) ที่ Baa1 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของผู้ออกตราสารหนี้
เนื่องจากมูดี้ส์มองว่าสถานะการคลังของไทยมีแนวโน้มที่ดี มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการลงทุนทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ
เช่นเดียวกับบริษัท ฟิทช์ เรทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ได้ปรับเพิ่มแนวโน้มประเทศไทย รวมทั้งระบบการเงินของไทยและรัฐบาลใหม่ขึ้นเป็น “บวก” จากระดับ “คงที่” ไปก่อนหน้านั้น
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี