“เจตนายังเหมือนเดิม” เป็นชื่อเพลงฮิตอีกเพลงหนึ่งของนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง...
ที่นึกขึ้นมา ก็เพราะเห็นข่าวเมื่อวานนี้ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง และพวก จำเลยคดีล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา เมื่อปี 2552 เดินทางไปยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด เพื่อขอให้อัยการถอนฟ้องคดีล้มการประชุมอาเซียน
อ้างเหตุว่า มีพยานโจทก์หนึ่งปาก ถูกศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษฐานแจ้งความเท็จ
นายอริสมันต์เปิดเผยว่า ตนมายื่นขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด กรณี พ.ต.ท.ศราวุธ บุญชัย พยานฝ่ายโจทก์ในคดีล้มการประชุมอาเซียน รับสารภาพว่าให้การเท็จปรักปรำพวกตน โดยพ.ต.ท.ศราวุธ เป็นพยานปากสำคัญ ศาลตัดสินตามข้อมูลของพ.ต.ท.ศราวุธ จึงมาขออัยการสูงสุดพิจารณาว่าคดีสมควรถูกยกออกไปจากสารบบหรือไม่
1.น่าสงสัยว่า เรื่องนี้ นายอริสมันต์ดูเหมือนพยายามจะ “ตีเนียน” หรือไม่?
แน่นอน เมื่อพบพยานบางรายให้การเท็จ ก็เป็นสิทธิอันชอบ และเป็นหน้าที่ของระบบยุติธรรมที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับคู่กรณี “บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง” มิใช่ตีขยายวงกว้าง “เหมาเข่ง” ไปหมด
กรณีนี้ พยานให้การเท็จที่ว่านั้น คือ พ.ต.ท.ศราวุธ บุญชัย
ก่อนหน้านี้ ถูกพิพากษาไปแล้ว ว่าให้การเบิกความเท็จ อ้างว่าจำเลยในคดีล้มการประชุมอาเซียนบางรายอยู่ในเหตุการณ์ล้มการประชุม ทั้งๆ ที่ ในความเป็นจริงไม่ได้อยู่ ซึ่งพ.ต.ท.ศราวุธก็จะต้องรับกรรมของตนเองไปโดยไม่อาจ
บิดพลิ้ว ขณะเดียวกัน คนที่ถูกปรักปรำด้วยความเท็จว่าอยู่ในเหตุการณ์ล้มการประชุมอาเซียน ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่จริงๆ ควรได้รับความเป็นธรรมด้วย
แต่จะเป็นเหตุถึงขนาดต้องถอนฟ้องคดีล้มการประชุมอาเซียนออกไปทั้งกะบิ ฟอกตัวให้จำเลยทุกคนหรือไม่ โดยที่จำเลยส่วนใหญ่ ปรากฏภาพถ่าย หลักฐานชัดเจน สิ้นสงสัย ว่าร่วมอยู่ในเหตุการณ์แน่นอน แถมมีคลิปขึ้นปราศรัยเปิดเผยว่าได้รับการสั่งการจากใคร ได้เงินเท่าไหร่ ให้ไปล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา !!!!
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้ว จำคุก 4 ปี ขณะนี้ เพียงอยู่ในชั้นการพิจารณาของศาลฎีกา
ถ้าทำตามที่นายอริสมันต์เรียกร้อง มันจะเป็นการ “ทำเนียน” เกินไป หรือไม่?
2. เมื่อวานนี้ นักข่าวถามนายอริสมันต์ว่า มีบทบาทในการปราศรัยแบบฮาร์ดคอร์ ลำบากในการสู้คดีหรือไม่ มั่นใจแค่ไหน?
นายอริสมันต์กล่าวว่า จริงๆ แล้วต้องดูสาเหตุว่าทำไมเราถึงเป็นอย่างนั้น การกระทำของอีกฝ่ายทำกับเรารุนแรงมากอยู่แล้ว บางทีไปดักอุ้มเรา บุกจับเราโดยใช้อาวุธสงครามยิงเข้าไปในห้อง ถ้าสืบสาวความจริงเราปราศรัยทั่วประเทศ ไม่มีการเจ็บการตาย หรือเหตุการณ์ชุลมุนขึ้น แต่เมื่อเข้ามาในกรุงเทพฯ แล้วมีการตาย เพราะว่ามีคนนำอาวุธสงคราม กระสุนจริงเข้ามา หลายอย่างที่เกิดขึ้น อยากให้พี่น้องประชาชนคิดว่าการชุมนุมของ นปช. ที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในกรุงเทพฯ ที่เดียว เกิดขึ้นทั่วประเทศ ทุกที่ที่ไปไม่มีความเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นที่กรุงเทพฯ
โอ้โฮ.... ฟังแล้ว อยากจะเปิดเพลง “ใจไม่ด้านพอ” ประกอบการดูข่าว
ประการแรก ที่นายอริสมันต์อ้างว่า ที่อื่นๆ ไม่มีความเสียหาย มีแต่ที่กรุงเทพฯนั้น อยากให้แหกตาดูความจริงที่เกิดขึ้นกับศาลากลางจังหวัด 4 จังหวัดในภาคอีสาน (ยังไม่นับความพยายามเผาอีกหลายจังหวัด)
เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 คนเสื้อแดงบางกลุ่มบุกเผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี, อุดรธานี, ขอนแก่น และมุกดาหาร เผาจริงๆ และถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกแล้วจริงๆ ทั้ง 4 จังหวัด
กรณีเผาศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร ศาลพิพากษาจำคุกจำเลยกลุ่มแรก 13 คน คนละ 20 ปี
กรณีเผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายพิเชษฐ์ ทาบุดดา หรือ อ.ต้อย แกนนำ นปช.อุบลราชธานี และพวก
กรณีเผาศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ศาลพิพากษาจำคุก 13 ปี นายอดิศัย วิบูลเสข และพวก (แนวร่วมเสื้อแดง) ชี้ว่ามีพยานหลักฐานชัดเจน พฤติกรรมไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมืองและไม่ต้องการให้เป็นเยี่ยงอย่าง
กรณีเผาศาลากลางจังหวัดอุดรธานี ศาลพิพากษาจำคุก 22 ปี นายวันชัย รักสงวนศิลป์ และพวก (แนวร่วมเสื้อแดง) บางคนป่วยตายในคุก ไร้การเหลียวแลจากแกนนำใดๆ โดยเฉพาะคนที่ปราศรัยยุยงปลุกปั่น
ยังไม่กล่าวถึงอีกหลายความเสียหายที่ศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ อาทิ คดีเผาเซ็นเตอร์วัน ศาลแพ่งชี้ขาดคดีถึงที่สุดว่าเป็นลักษณะการก่อการร้าย ไม่เข้าเงื่อนไขประกันภัย, คดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เอกชนก็ได้รับประกันภัยก่อการร้ายไปแล้ว, คงมีแต่กรณีเผาตลาดหลักทรัพย์ที่ศาลชี้ว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอเท่านั้นเอง
ประการที่สอง เกี่ยวกับการปราศรัยฮาร์ดคอร์ของนายอริสมันต์ ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดจากแรงกดดันตอบโต้ เพราะนายอริสมันต์ได้เดินสายปราศรัยในลักษณะดังกล่าวหลายครั้งหลายหน หลายสถานที่ ตั้งแต่ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงด้วยซ้ำ
ส่อแสดงว่าน่าจะเป็นการแบ่งบทบาทกันในหมู่แกนนำ นปช.
ลองคิดดู การล้มประชุมอาเซียน เมื่อเดือนเม.ย. 2552 นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเฉียบพลัน แต่เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหว ผ่านการจัดการ จัดตั้งการเคลื่อนไหวโดยกลุ่มการเมืองที่สูญเสียอำนาจในขณะนั้น
ทักษิณ ชินวัตร เคยโฟนอินผ่านเวทีคนเสื้อแดงทุกวันในช่วงนั้น ยุยงส่งเสริม กระตุ้น เร่งเร้า และขอขอบคุณพี่น้องกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ไปช่วยกันที่พัทยา
จตุพร พรหมพันธุ์ และแกนนำส่วนกลาง ปราศรัยบนเวทีเสื้อแดงหน้าทำเนียบฯ “คนเสื้อแดงจะได้รับชัยชนะที่พัทยาแล้ว แต่การต่อสู้ยังไม่จบ จนกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ จะลาออก”
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ปราศรัย “พี่น้องเราบางคนซึ่งสับสนกับสถานการณ์พยายามโทร.มาถามผมว่ามีการบุกเข้าไปในโรงแรม ไม่ใช่นโยบายของเราไม่ใช่หรือ มีการบุกเข้าไปในโรงแรมแสดงว่าคนเสื้อแดงบางส่วนมีการกระทำนอกเหนือจากแนวทางของเวทีใหญ่ใช่หรือไม่ ผมตอบว่าไม่ใช่ เราบอกว่าต้องบุกเข้าไปในโรงแรม และขณะนี้เราได้ถอนกำลังออกจากโรงแรมรอยัลคลิฟพัทยาเรียบร้อยแล้วพี่น้อง และจะกลับกรุงเทพฯมาพบพี่น้อง” และ “การรบที่พัทยาได้เสร็จสิ้นลงแล้ว เพราะรัฐบาลประกาศยกเลิกการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและประเทศคู่เจรจา เมื่อนายอภิสิทธิ์ไม่สามารถเข้าทำเนียบรัฐบาลได้ ไม่สามารถจัดการประชุม แล้วจะอยู่ในตำแหน่งทำไม ได้บอกให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่พัทยาถอนกำลังออกจากโรงแรมมายังทำเนียบฯซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญแล้ว และเมื่อมาถึงก็ขอให้ทุกคนร่วมกันฉลองให้กับนักรบของเราในคืนนี้”
แม้แต่นายอริสมันต์ ยังปราศรัยด้วยตนเอง ต่อหน้าบรรดาแกนนำเสื้อแดงทั้งหลายในขณะนั้น เมื่อกลับมาประกาศชัยชนะที่เวทีเสื้อแดงหน้าทำเนียบรัฐบาลว่า “ณัฐวุฒิโทร.ไปบอกว่าพี่กี้ร์ไม่ต้องรอแล้ว ไม่ต้องรอ บุกได้ทันทีสิบโทสั่งแม่ทัพได้ ในขณะที่พี่ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ กำลังปลุกใจพี่น้อง ผมอยู่ข้างล่างก็บอกพี่ไวพจน์สั่งคนเสื้อแดงเดินทางเข้าห้องประชุมเข้าไปในโรงแรมทันที เพราะว่าวันนี้ ณัฐวุฒิให้ตังค์มาแล้วแสนแปด โอ้โห้สบาย บอกพี่กี้ร์พอหรือเปล่าแสนแปด ผมบอกว่าโอเคไม่เป็นไรหรอก ผมจะใช้แสนแปดให้คุ้มค่าที่สุดกับการไล่ล่าอภิสิทธิ์ในครั้งนี้ให้สำเร็จ”
แล้วถ้าอยากรู้ว่านายอริสมันต์เคยปราศรัยฮาร์ดคอร์ ปลุกระดมขนาดไหน ลองไปอ่านรายงานฉบับสมบูรณ์ของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ระบุถึงการปราศรัยที่มีลักษณะเป็นการยั่วยุ ชี้นำ หรือส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรง อาทิ
นายอริสมันต์ ปราศรัย เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2553 ที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก ระบุว่า “พี่น้องนัดกันคราวหน้า ถ้ารู้ว่าเขาจะปราบปราม ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก มาด้วยกัน ขวดแก้วคนละใบ มาเติมน้ำมันเอาข้างหน้า บรรจุให้ได้ 75 ซีซี ถึง 1 ลิตร ถ้าเรามาหนึ่งล้านคนในกรุงเทพมหานคร มีน้ำมันหนึ่งล้านลิตร รับรองว่า กทม.เป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน… วันนี้การต่อสู้เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าไม่ชนะ เป้าหมายคือคุก หรือไม่ก็ตายเท่านั้นพี่น้อง ผมขอบอกข่าวดีว่า เดิมทีนั้น คนเสื้อแดงมีเพียงพรรคการเมือง และมวลชนเท่านั้น แต่วันนี้ แก้วอีกประการหนึ่งที่เรารอ นั่นคือ
กองกำลังไม่ทราบฝ่าย เขาพร้อมสนับสนุน และปกป้องคนเสื้อแดง และพร้อมที่จะเป็นปรปักษ์กับกองทัพ ถ้ากองทัพทำร้ายประชาชน”
3. สุดท้าย คดีล้มการประชุมอาเซียน อยู่ในชั้นการพิจารณาของศาลฎีกา
ไม่ว่าศาลจะพิพากษาชี้ขาดอย่างไร ทุกฝ่าย จะต้องเคารพ
และในความเป็นจริง ฝ่ายจำเลย ก็สามารถยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยยื่นหลักฐานใหม่ที่เกี่ยวกับการให้การเท็จที่อ้างนั้นได้อยู่แล้ว เชื่อว่าศาลฎีกาย่อมจะให้ความเป็นธรรมจำเลยแต่ละราย ตามข้อเท็จจริงอย่างแท้จริง
แต่การไปขอให้อัยการสูงสุดถอนฟ้องจำเลยทั้งหมดนั้น กลับเป็นการพยายาม “เหมาเข่ง” ที่ส่อเจตนาบางประการ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี