ในโลกการเมือง หากไม่พูดคุยกันเพื่อรับความต่างและหาจุดร่วม ก็มีแต่จะต้องเผชิญหน้ากันต่อไปไม่จบไม่สิ้น และอาจลุกลามไปถึงขั้นการใช้ความรุนแรง ซึ่งไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะ ก็กุมชัยชนะได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม เนื่องจากฝ่ายที่พ่ายแพ้ย่อมผูกใจเจ็บ และดิ้นรนหาทางกลับมาแก้แค้นกันเป็นวัฏจักร วนไปเรื่อยๆ
ฉะนั้น จะปล่อยให้ค้างคากันอยู่ด้วยการเผชิญหน้า หรือจะลุกขึ้นมาจับอาวุธประหัตประหารกัน ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อยู่ดี ซ้ำร้ายสังคมโดยรวมก็ยิ่งบอบช้ำยิ่งขึ้นอีก
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องของการใช้สติ และการตระหนักถึงหน้าที่ ที่จะต้องร่วมกันทำนุบำรุงประเทศชาติ แล้วร่วมมือกันแก้ไขปัญหา เริ่มด้วยการพูดจาเสวนากัน หาจุดร่วมกันให้ได้ หากยังคงยืนกระต่ายขาเดียวกันทั้งสองฝั่ง ไม่ยอมโอนอ่อนต่อกันเลย ไม่ถ้อยทีถ้อยปฏิบัติบ้าง ก็คงเพราะยังตระหนักไม่ได้ว่า ต่างฝ่ายนั้นต่างกำลังร่วมกันทำลายชาติบ้านเมือง
แล้วจะเริ่มต้นกันที่ตรงไหน?
ก็ต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้นของประเทศ นั่นคือ อุดมการณ์แห่งรัฐชาติ (Nation State Ideology) ที่เราคนไทยได้รับการสั่งสอน ท่องจำกันขึ้นใจกันมาตลอด คือ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ (ซึ่งในบางช่วงเคยมีคำว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ได้ตกหายไปโดยสาเหตุไม่แจ้ง)
เมื่อเป็นอุดมการณ์แห่งประเทศชาติ ก็หมายความว่า ประเทศไทยต้องมีความเป็นชาติ มีศาสนา และมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ฉะนั้นประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรที่มีผู้คนเรียกว่า คนไทย และมีความเชื่อถือ สะท้อนสิทธิเสรีภาพและขนบธรรมเนียมประเพณี
ประเด็น ณ วันนี้คือ เราคนไทยทุกคน โดยเฉพาะผู้มีอำนาจรัฐและใช้อำนาจรัฐ ผู้มาอาสารับใช้บ้านเมือง ผู้ได้ประโยชน์จากดินแดนไทยนั้น มีความรู้ มีความเข้าอกเข้าใจในเรื่องอุดมการณ์รัฐชาติไทยกันมากน้อยแค่ไหน และมีความเห็นพ้องต้องกันด้วยหรือไม่
อีกทั้งสังคมใดๆ จะอยู่ได้นั้น ต้องมีกฎหมายควบคุม กำกับ เป็นกติการกลาง แต่แค่ตัวบทกฎหมายก็ไม่เพียงพอ และด้วยเหตุนี้อุดมการณ์รัฐชาติก็จะขาด ซึ่งไม่ได้ซึ่งสถาบันกฎหมาย ฉะนั้น อุดมการณ์รัฐชาติไทยก็ต้องมี 4 สถาบันคือ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และกฎหมาย (จะเรียกว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญ ธรรมาภิบาล ธรรมาธิปไตยนิติรัฐนิติธรรม) ก็เป็นเรื่องจะต้องหารือกันต่อไป)
ประเด็นหลักก็คือ บ้านเมืองจะขาดกฎหมายมิได้ หรือสถาบัน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จะอยู่โดยไม่มีกฎหมายมิได้
ฉะนั้น ก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะมาเสริมสร้างความเข้าอกเข้าใจเกี่ยวกับอุดมการณ์รัฐชาติไทยกันโดยเร็ว ซึ่งก็จะหลีกเลี่ยงการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย สถานะของไทยในโลกกว้างมิได้ เพราะที่ไทยเป็นอย่างนี้ก็มีความเป็นมา
เพื่อเป็นการเริ่มต้น ณ ที่นี้ ก็ขอเรียนว่า
ไทย เป็นราชอาณาจักร เปลี่ยนแปลงไม่ได้
ไทย เป็นรัฐเดียว แบ่งแยกไม่ได้
พลเมืองไทย มีสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบเท่าเทียมกันตามกฎหมาย ไม่ถูกข่มขู่ ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ
พลเมืองไทย ร่วมเป็นเจ้าของประเทศ เป็นอำนาจอธิปไตย เป็นผู้มอบอำนาจให้คนกลุ่มหนึ่งไปช่วยบริหารประเทศ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ศาสนา สะท้อนสิทธิเสรีภาพในการมีความเชื่อถือ ขนบธรรมเนียมประเพณีอันสูงส่ง สะท้อนว่าคนไทยอยู่กับ “หลักธรรม คำสั่งสอน” ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด
สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจ เป็นสัญลักษณ์ของคุณงามความดีทั้งปวงของปวงชนชาวไทย เป็นผู้ทำนุบำรุงศาสนา โดยพุทธศาสนาเป็นส่วนหลักของราชพิธีการตามขนบธรรมเนียมประเพณี ปวงชนถวายอำนาจอธิปไตยเพื่อพระองค์ทรงดูแล เพื่อความผาสุกโดยรวม และผู้มีตำแหน่งหน้าที่ทำการในนามของพระองค์เพื่อประโยชน์ส่วนรวม
สถาบันกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญ กำหนดความเป็นรัฐชาติ และความเป็นพลเมืองไทย โดยกฎธรรม เป็นตัวกำกับความประพฤติต่างๆ ตามหลักความถูกต้องชอบธรรม
เมื่อเราเข้าใจเรื่องอุดมการณ์รัฐชาติ เราทุกคนก็อยู่ในกรอบเดียวกัน และมีขอบเขตการปฏิบัติเดียวกัน ความคิด หรือการปฏิบัติแบบสุดโต่ง ที่อยู่นอกกรอบ ก็ต้องละวางไป ไม่มีใครจะเอาแต่ใจ เอาความต้องการของตัวเป็นที่ตั้งได้ เพราะเรารู้ตัว รู้หน้าที่ ต่อรัฐชาติไทย
เราอาจจะมีความต่างในเรื่องนิยามการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ได้ หากแต่เรานั้นมีความต่างในเรื่องอุดมการณ์ชาติมิได้ เพราะมันเป็นกรอบพื้นฐาน ที่รวมทุกคนในชาติ ให้ร่วมกันเดินหน้าไปอย่างมั่นคง ภายใต้ความสามัคคี เป็นหนึ่งเดียวกัน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี