รัฐวิสาหกิจ เป็นกิจการที่ดำเนินการโดยราชการเอง มีจำนวนทั้งสิ้น 65 รัฐวิสาหกิจ มีจำนวนพนักงานและลูกจ้างรวมกว่า 3 แสนคน เป็นแหล่งสร้างงานให้กับประชาชนและเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้กับรัฐที่สำคัญนอกเหนือจากงบประมาณแผ่นดินรายปีที่ได้มาจากภาษีต่างๆ ของประชาชน และที่น่าสนใจและต้องรับรู้สำหรับประชาชนทั่วไปก็คือรัฐวิสาหกิจเป็นแหล่งหาผลประโยชน์ที่ใหญ่โตมากตลอดมาของนักการเมือง
ถึงแต่ละปี จะมีงบประมาณแผ่นดินของประเทศปีละเกือบ 3 ล้านล้านบาท แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายประจำไปเกือบหมด จะเหลืองบเพื่อไปใช้ในโครงการต่างๆปีละ 5-6 แสนล้านบาทเท่านั้น และงบเหล่านี้ยังจะต้องผ่านการพิจารณาของสมาชิกสภาผู้แทนอย่างเข้มข้นทุกบาททุกสตางค์
แต่เงินของประเทศจำนวนมหาศาล เป็นแสนๆ ล้านอีกส่วนหนึ่งที่ใช้จ่ายได้ภายใต้อำนาจรัฐมนตรีต่างๆ โดยไม่ต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎร คือ เงินรายได้จากรัฐวิสาหกิจต่างๆ อำนาจนี้รัฐมนตรีต่างๆ ใช้ผ่านประธานกรรมการและกรรมการรัฐวิสาหกิจหรือที่เรียกว่า “บอร์ด” ที่รัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งเข้าไปได้
บอร์ดที่เป็นปรารถนามากที่สุดนั้นกลับไม่ใช่บอร์ดที่นักการเมืองจะได้โอกาสเข้าไปแสดงฝีมือในการแก้ไขปรับปรุง กิจการที่ขาดทุนมากๆ เช่น บอร์ดการรถไฟไทย หรือ บอร์ด ขสมก. แต่บอร์ดยอดปรารถนาสูงสุดของนักการเมืองนั้นเป็นบอร์ดที่มีกำไรมากๆ อย่าง ปตท. หรือ ทอท. ที่จ่ายเบี้ยประชุมและมีโบนัสจากกำไรประจำปีสูงสุดของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด หรือรัฐวิสาหกิจที่แม้จะขาดทุนหรือไม่กำไรมาก แต่ก็จ่ายเบี้ยประชุมสูง มีสิทธิพิเศษต่างๆ มีวงเงินค่าเลี้ยงรับรอง อย่างเช่น การบินไทย ที่ในปัจจุบันถึงแม้จะลดสิทธิประโยชน์ลงไปมากกว่าเดิมแล้ว ยังได้รับบัตรโดยสารบินฟรีปีละ 20 ใบ เป็นเส้นทางในประเทศและต่างประเทศอย่างละ 10 ใบ นอกเหนือจากที่กรรมการจะได้รับเบี้ยประชุมคนละ 30,000 บาทต่อเดือน และยังมีค่าตอบแทนบอร์ดทุกคนจะได้รับเดือนละ 20,000 บาท อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนจนต้องหยุดกิจการไปพักหนึ่ง แต่มีการจ่ายค่าตอบแทนบอร์ดสูงมากติดอันดับต้นๆ คือ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ที่มีการจ่ายผลตอบแทนและเบี้ยประชุมบอร์ดเมื่อปี 2555 สูงถึง 42 ล้านบาท แต่ยอดเงินแจกจ่ายบอร์ดนี้ ก็ยังแพ้บอร์ดสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ในปีเดียวกันนั้น มีค่าใช้จ่ายเบี้ยประชุมและค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางรวมอยู่ถึง 60 ล้านบาท
ผมเองเมื่อปี 2550 ได้เคยไปเป็นบอร์ด ทอท. โดยได้รับเชิญจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม คุณสรรสริญ วงศ์ชะอุ่ม ในรัฐบาล พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ให้ไปเป็นบอร์ดท่าอากาศยานไทย ในฐานะที่เป็นอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อให้เป็นฝ่ายวิชาการไปดูความแข็งแรงและความปลอดภัยของสนามบินสุวรรณภูมิ ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ในขณะนั้น เลยได้มีประสบการณ์ เห็นอำนาจและความยิ่งใหญ่ของบอร์ดรัฐวิสาหกิจด้วยตัวเอง บอกจริงๆ ว่านึกไม่ถึงว่าจะได้รับอำนาจและผลประโยชน์ในการทำงานเป็นบอร์ดขององค์กรรัฐวิสาหกิจที่ร่ำรวยมากขนาดนี้
ผมเองได้เคยเป็นบอร์ดธนาคารออมสิน ธนาคารของรัฐที่มีงบประมาณน้อย ได้เบี้ยประชุมเดือนละ 5,000 บาท ก็ว่าเหมาะสมกับงานแล้ว แต่ที่ ทอท. ผมได้รับเบี้ยประชุมครั้งละ 50,000 บาท และได้เป็นประธานคณะกรรมการธรรมาภิบาล และเป็นกรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบภายในอีก และยังมีสิทธิเบิกค่าเดินทางไปดูงานแบบจัดทริปส่วนตัว สามารถเบิกให้ภรรยาเดินทางไปได้ด้วย ซึ่งผมสละไม่ใช้สิทธินี้ แต่ที่แปลกใจมากคือได้เห็นว่ากรรมการบอร์ดนั้นมีอำนาจมาก วันแรกที่ประชุมมีวาระเพื่อพิจารณาอนุมัติจ่ายงานเพิ่มค่าก่อสร้างต่างๆ จำนวนเงินกว่า 4,000 ล้านบาท ให้กับหลายผู้รับเหมา มีเอกสารประกอบการอนุมัติมาเป็นตั้งวางสูงกว่าหนึ่งฟุต แค่เปิดอ่านถึงเที่ยงคืนก็ไม่หมดแล้ว ฝ่ายเจ้าหน้าที่ยืนยันให้บอร์ดอนุมัติ เพราะเป็นอำนาจของบอร์ด โชคดีที่บอร์ดชุดผมไม่มีใครยอมอนุมัติให้ในวันนั้น แต่ได้ให้แนวทางไปตั้งคนกลางจากองค์กรวิชาชีพไปร่วมตรวจสอบผลงานจริงที่เกิดขึ้นแล้วเสนอมาใหม่ ขบวนการนี้ผู้รับเหมาที่ทำงานก็จะได้เงินทุกบริษัท แต่จะช้ากว่าการจ่ายเงินวิ่งเต้น ซึ่งผมมารู้ภายหลังจากการเจอบริษัทในงานหนึ่ง เขาพูดขอบคุณว่า เขาได้รับเงินไปอย่างรวดเร็ว ปรากฏภายหลังว่ามีคนไปแอบอ้างชื่อบอร์ดเรียกเงินไปเป็นค่าติดต่อประสานงานหลายสิบล้าน ซึ่งเขาก็พอใจจ่ายแลกกับเงินที่ค้างอยู่หลายร้อยล้าน
ที่เล่ามาให้เห็นตัวอย่าง 1 แห่ง ว่าคนที่ได้เป็นบอร์ดมีโอกาสได้รับและสามารถแสวงหาผลประโยชน์ได้ง่ายดายเพียงใด ถ้าอยากจะได้ ที่จริงแล้วพฤติกรรมต่างๆ ที่เล่ามานี้ คงเกิดขึ้นคล้ายคลึงกันในอีกหลายๆ แห่ง ที่เป็นการยืนยันได้ดีก็คือการที่รัฐบาลสมัย คสช. พยายามจะแก้ไขการแสวงหาผลประโยชน์ต่างๆ จากการดำรงตำแหน่งบอร์ดในรัฐวิสาหกิจ โดยออกระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ มาเพื่อให้ได้กรรมการบอร์ดที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับหน้าที่ ที่จะเข้าไปช่วยแนะนำและดูแลกิจการของรัฐวิสาหกิจให้เจริญก้าวหน้า ไม่ใช่ให้รัฐมนตรีหรือพรรคการเมืองส่งคนของตัวเองเป็นใครก็ได้ เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณบ้าง ให้ไปดูแลช่องทางเข้าไปประมูลบ้าง แบบที่ทำมาตลอด ซึ่งระเบียบที่ออกมา เช่น “พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562” และระเบียบที่ออกมาเร็วๆ นี้ กระชับเข้าไปอีก คือ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม.ได้รับทราบ ข้อเสนอของกระทรวงการคลัง เป็น “แนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ”
มาตรการเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในมาตรการต่างๆ ที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ได้พยายามทำมาโดยตลอดหลายสิบปี แต่ยังไม่เป็นผลสำเร็จอย่างที่มุ่งหวังเท่าใดนัก จึงเหลือมาตรการของภาคประชาสังคม ที่เราจะต้องช่วยกันติดตามเฝ้าดูว่า รัฐมนตรีคนไหนบ้างที่มีความตั้งใจดีต่อรัฐวิสาหกิจที่ตนกำกับดูแลอยู่ให้เจริญงอกงาม หรือ ยังถือว่ารัฐวิสาหกิจยังเป็นแหล่งให้เกาะกินเหมือนที่ทำมาในอดีตอีกไม่เปลี่ยนแปลง
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี