ขณะนี้พรรคฝ่ายค้านกำลังรณรงค์เพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะเห็นว่าเป็นต้นเหตุอย่างหนึ่งของวิกฤติในบ้านเมือง โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับการออกแบบรัฐธรรมนูญเพื่อคณะบุคคลเป็นหลักแทนที่จะเป็นการออกแบบรัฐธรรมนูญเพื่อประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก
ที่สำคัญคือในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญในตอนต้นนั้นมิได้น้อมนำพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานเป็นแนวทางในการร่างรัฐธรรมนูญมาเป็นหลักในการร่างรัฐธรรมนูญ
จึงเป็นผลให้การร่างรัฐธรรมนูญนั้นรกรุงรังเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่จำเป็นต้องตราไว้ในรัฐธรรมนูญเพราะไม่ใช่ระบบหรือระเบียบการบริหารรัฐ แต่เป็นวิธีการทำงานหรือวิธีการปฏิบัติที่สามารถแยกไปตราเป็นกฎหมายต่างหากได้
ดังนั้นเมื่อนำเอาเรื่องราวมากมายที่ไม่ควรจะบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งมีฐานะเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ จึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้การทั้งหลายมีความเสี่ยงที่จะขัดต่อรัฐธรรมนูญและเมื่อการใดขัดต่อรัฐธรรมนูญแล้ว การนั้นก็เป็นโมฆะหรือต้องยกเลิกเพิกถอน
แม้กระทั่งผู้กระทำการนั้นก็ย่อมต้องรับผิดในฐานะฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ หรือละเมิดรัฐธรรมนูญ หรือกระทำการอันขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งนอกจากมีผลต่อการดำรงตำแหน่งแล้ว ยังก่อให้เกิดความรับผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญาตามมาด้วย
เพราะการฝ่าฝืนหรือการปฏิบัติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้นก็ต้องถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ชอบ และถ้าหากเกี่ยวข้องกับการทุจริตก็จะต้องรับผิดมากขึ้นตามโทษานุโทษ
ดังเช่นการเขียนคุณสมบัติต่างๆ ไว้รกรุงรังไปหมดตั้งแต่คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งรัฐมนตรี และคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ อีกมากมายคิดเป็นปริมาณเนื้อหาในเรื่องคุณสมบัติ แล้วก็กินเนื้อที่เกือบครึ่งหนึ่งของรัฐธรรมนูญ
นั่นเป็นเรื่องของเนื้อที่ แต่ที่ก่อเกิดเป็นปัญหาตามมาก็คือเมื่อกำหนดเรื่องเหล่านี้ไว้มากมายเพียงใดก็ทำให้การปฏิบัติหรือการต้องมีคุณสมบัติต้องเป็นไปอย่างสลับซับซ้อน ยุ่งยาก ยุ่งเหยิง วุ่นวายตามมาด้วย และแน่นอนว่าย่อมเป็นต้นเหตุให้มีการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือฝ่าฝืนกับรัฐธรรมนูญมากขึ้นด้วย
ดังเช่นกรณีการเขียนบทบัญญัติการถือหุ้นสื่อมวลชนโดยที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเขียนหรือเขียนไว้อย่างหยาบๆ โดยไม่ระบุว่าเป็นสื่อมวลชนประเภทไหน ถือหุ้นเท่าใด มีสิทธิ์ในการบงการการบริหารหรือไม่ และต้องเป็นธุรกิจสื่อมวลชนจริงหรือไม่
และมีการดำเนินการเอาผิดกับแกนนำพรรคอนาคตใหม่จนต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปแล้ว โดยระยะเริ่มแรกก็มีความกระเหี้ยนกระหือรือราวกับเป็นข้อหาร้ายแรงอุกฉกรรจ์
แต่เมื่อเป็นรัฐธรรมนูญแล้วก็ย่อมมีผลบังคับกับทุกคน ดังนั้นทั้ง สส. ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลรวมทั้งวุฒิสภาที่มีชื่อถือหุ้นนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจสื่อมวลชนจึงถูกร้องให้มีการตรวจสอบไต่สวนกันจ้าละหวั่น จนเห็นได้ชัดว่าถ้าเอาจริงเอาจังเหมือนกับกรณีของแกนนำพรรคอนาคตใหม่แล้ว จะมีผลให้ สส. สว. กว่าร้อยคนต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งจะเกิดเป็นวิกฤติทางการเมืองครั้งใหญ่
ดังนั้นเรื่องนี้จึงค่อยซบเซาเงียบหายไป ในขณะที่การหยุดปฏิบัติหน้าที่ที่เกิดขึ้นเพียงคนเดียวก็กลายเป็นหนามยอกอกหรือเสี้ยนตำตีนของกระบวนการยุติธรรม และเป็นที่จับจ้องตำหนิติเตียนของคนทั้งหลายอยู่จนบัดนี้
แม้กระทั่งในการปฏิบัติการทั้งหลายของรัฐบาลก็ต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ที่แม้จะรกรุงรังเพียงใดก็ต้องปฏิบัติไปตามนั้น ดังนั้นจึงเป็นต้นเหตุให้รัฐบาลต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติทางกฎหมายร้ายแรงเพิ่มขึ้นโดยลำดับ
แค่ไม่ถึงสามเดือนของการจัดตั้งรัฐบาลก็มีเรื่องการตรวจสอบไต่สวนเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญที่อาจส่งผลต่อฐานะของรัฐบาลแล้วหลายเรื่อง ที่สำคัญคือ
เรื่องแรก เกี่ยวกับคุณสมบัติของหัวหน้า คสช. ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่ ซึ่งถ้าหากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็จะไม่มีสิทธิ์ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีทุกขั้นตอนซึ่งหากพลาดพลั้งไปในทางที่ไม่คาดหวัง พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา ก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งและไม่สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป
เรื่องที่สอง เกี่ยวกับการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่งของคณะรัฐมนตรี ซึ่งรัฐธรรมนูญได้กำหนดแบบและข้อความที่ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณไว้แต่จะด้วยเหตุผลกลใดไม่ปรากฏ เกิดกรณีถวายสัตย์ปฏิญาณไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ จึงมีเรื่องเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีคำวินิจฉัยแล้วว่าไม่รับเรื่องไว้พิจารณา เพราะเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณนี้ไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ
เรื่องที่สาม เกี่ยวกับการแถลงนโยบายที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้รัฐบาลต้องแถลงจำนวนเงินงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินนโยบาย รวมทั้งที่มาของเงินด้วย ซึ่งปรากฏว่ามิได้มีการแถลงในเรื่องนี้ และในที่สุดก็อาจมีการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยอีกแต่มีคำวินิจฉัยแล้วเช่นเดียวกันว่าไม่รับเรื่องไว้พิจารณา
เรื่องที่สี่ ที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ ก็คือเรื่องการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่มีลักษณะต้องห้ามมิให้แต่งตั้ง ซึ่งมีความเสี่ยงว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญอีก และอาจส่งผลให้ทั้งนายกรัฐมนตรีรวมทั้งรัฐมนตรีกระทำการอันฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญอีกด้วย
สี่เรื่องนี้ต้องถือว่าเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาข้าวใหม่ปลามันของรัฐบาล แล้วถ้าเนิ่นนานไปอะไรจะเกิดขึ้น เพราะการที่ไม่รับเรื่องไว้พิจารณานั้นไม่ได้หมายความว่าเรื่องนั้นถูกผิดประการใด เพราะเป็นเพียงการไม่รับพิจารณา ซึ่งจะทำให้ปัญหาค้างคาใจประชาชนอยู่ต่อไป และย่อมกระทบต่อเสถียรภาพและความเชื่อมั่นในรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนี่ก็เป็นวิบากกรรมของรัฐธรรมนูญฉบับนี้!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี