วันอาทิตย์ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ย้อนไปเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการเลือกตั้งเฟซบุ๊คของ เดอะ สแตนดาร์ด รายงานข่าวว่า
“...เช้าวันนี้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวถึงกรณีการจัดการทรัพย์สินของตนเองเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำทางกฎหมาย และเพื่อสร้างมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้มีความโปร่งใสมากขึ้น โดยจะนำทรัพย์สินของตนไปให้บริษัทจัดการทรัพย์สิน คือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด
...นายธนาธรกล่าวว่าการที่นักธุรกิจเข้ามาทำงานการเมืองไม่ใช่เรื่องใหม่ และในต่างประเทศมีการสร้างมาตรฐานเพื่อให้สาธารณชนไว้วางใจอย่างชัดเจน ซึ่งรูปแบบที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดคือ Blind Trust หรือการโอนทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมดเข้าไปอยู่ในกองทุนโดยให้บุคคลที่สามเป็นผู้ดูแล และทำให้ Blind คือหมายความว่าเจ้าของทรัพย์สินจะมองไม่เห็น และอำนาจในการบริหารทรัพย์สินอยู่ที่ผู้รับมอบอำนาจแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น
...นายธนาธรกล่าวต่อไปว่า แม้ในรัฐธรรมนูญปัจจุบันระบุไว้แล้วว่าให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการถือหุ้นบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ และรัฐมนตรีจะต้องโอนทรัพย์สินให้บริษัทจัดการทรัพย์สินเป็นผู้ดูแล แต่ไม่ได้ระบุว่าต้องทำให้เป็น Blind ทั้งนี้ ในต่างประเทศที่เป็นประชาธิปไตยส่วนใหญ่ นักการเมืองจะนำทรัพย์สินของตนเองเข้าไปอยู่ใน Blind Trust เป็นมาตรฐานทางศีลธรรมที่ไม่ได้มีการบังคับ นี่คือรูปแบบการจัดการทรัพย์สินที่จะลบข้อครหาทางสังคมได้ ทั้งนี้ ในประเทศไทยไม่มีกฎหมายที่รองรับ Blind Trustจึงทำเป็น Blind Trust ในลักษณะเดียวกันไม่ได้ แต่สิ่งที่ตนกำลังจะทำร่วมกับภัทรเป็นนวัตกรรมใหม่ เป็นการทำให้ Blind ด้วยความสมัครใจโดยไม่ต้องมีกฎหมายมาบังคับ
“ผมอยากจะสร้างมาตรฐานการทำการเมืองใหม่ ผมว่าข้อดีอันดับแรกคือไม่ต้องวอกแวกไปกับการจัดการทรัพย์สินของตัวเอง ทำให้เราทุ่มเทพละกำลังและเวลาของเราในการทำงานรับใช้ประชาชนได้อย่างเต็มที่ ประการที่สอง มันแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ผลักดันให้พวกเรามาทำงานการเมืองก็เพื่อทำให้สังคมดีขึ้น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แม้จะมีขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดให้เราทำ แต่สิ่งที่เราจะทำให้มากกว่านั้นคือสร้างมาตรฐานใหม่ ยกระดับความโปร่งใส สร้างมาตรฐานการดูแลผลประโยชน์ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้ไปไกลกว่ากฎหมาย” นายธนาธรกล่าว
...นอกจากนี้นายธนาธรยังได้ระบุถึงบางส่วนของเงื่อนไขที่อยู่ใน MOU ระหว่างตนกับภัทร คือจะต้องไม่ซื้อหุ้นไทยทุกตัว
และถ้าจะลงในหุ้น จะต้องลงทุนในหุ้นต่างประเทศอย่างเดียว เพื่อจำกัดข้อครหาทุกกรณีว่านโยบายที่ออกไปนั้นจะเอื้อต่อผลประโยชน์ส่วนตน นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขที่ระบุว่าการได้กรรมสิทธิ์ในการบริหารจัดการทรัพย์สินกลับมาเป็นของตัวเองจะต้องผ่านไปแล้ว 3 ปีหลังจากพ้นตำแหน่งทางการเมืองเท่านั้น
...นอกจากนี้ นายธนาธรยังได้ประกาศถึงกรณี นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของตน จะทำการขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทมติชนออกไปในระยะเวลาอันใกล้นี้ พร้อมระบุว่าก่อนหน้านี้ตนไม่เคยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซื้อหุ้นมติชนของครอบครัวเลยเพียงถูกส่งไปนั่งทำงานเป็นกรรมการบริหารเพียงอย่างเดียว โดยทำหน้าที่อย่างสุจริตมาตลอด และหลังจากตัดสินใจลาออกจากทุกตำแหน่งทางธุรกิจมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจ ก็ไม่เคยส่งใครไปนั่งบริหารแทนตนเลยตั้งแต่นั้นมา และที่ผ่านมาก็ไม่เคยทำการแทรกแซงหรือสั่งการใดๆ แต่เพื่อความโปร่งใสและสบายใจของสังคม นางสมพรก็เตรียมที่จะขายหุ้นออกไปในเร็วๆ นี้
...ส่วนกรณีข้อครหาว่าการทำงานการเมืองของตนจะมีผลประโยชน์กับบริษัทไทยซัมมิทหรือไม่ ตนยืนยันว่ารายได้เกือบทั้งหมดของไทยซัมมิทมาจากคู่ค้าระดับนานาชาติทั้งหมด แทบไม่มีหน่วยงานรัฐเลย และที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็ไม่เคยเป็นคู่สัมปทานกับรัฐ ไม่เคยมีแนวคิดที่จะทำธุรกิจกับรัฐ และเชื่อว่าแนวคิดนี้จะดำรงอยู่ต่อไป แต่หากในอนาคตบริษัทไทยซัมมิทจะมีการทำโครงการร่วมกับรัฐ ตนจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการพิจารณาใดๆ ทั้งสิ้น และขอให้สาธารณะร่วมกันตรวจสอบอย่างเข้มข้นด้วย
“นักธุรกิจที่เข้ามาทำงานการเมืองไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิดเสมอไปว่าจะต้องมากอบโกยหาผลประโยชน์ เราต้องการที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ ซึ่งสิ่งที่ผมกำลังจะทำกับภัทรจะเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ไกลเกินกว่าใครๆ และไกลเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด” นายธนาธรกล่าว
หลังมีข่าวนี้ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จากพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นไว้ใน 4 ประเด็น ว่า 1.“Blind Trust” ยังไม่มีจริงในประเทศไทย เพราะยังไม่มีกฎหมายรองรับ เพราะฉะนั้นที่คุณธนาธรลงนามไปนั้น ไม่ใช่ Blind Trust และไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน 2.นายธนาธรได้โอนทรัพย์สินให้สถาบันการเงินดูแล อันนี้หลายคนน่าจะเคยทำเหมือนกัน ผมก็เคยและวันนี้ก็ยังมีอยู่ โดยที่ผมก็ได้ลงนามสัญญาให้เขาบริหารโดยอิสระเช่นเดียวกัน 3.ตัวผมเองเคยมี Trust อยู่ที่ต่างประเทศ และรายงานรายละเอียดทั้งหมดกับ ป.ป.ช.ตามกฎหมายว่าด้วยเรื่องการรายงานบัญชีทรัพย์สิน และ 4.หลายปีมาแล้วที่ผมตัดสินใจทำสวนทางกับที่นายธนาธรพยายามที่จะทำ คือ ได้ยกเลิก Trust ที่มีอยู่ เนื่องจากคิดว่าความโปร่งใสสำคัญกว่า
“ผมคิดว่าประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในสิ่งที่คุณธนาธรได้ประกาศวันนี้ ไม่ใช่ว่าท่านเป็นคนแรกหรือไม่ แต่ที่ท่านบอกว่าทรัพย์สินที่ท่านโอนไปนี้จะ “มองไม่เห็น” มันเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะเมื่อทุกคนบอดสนิทกับข้อเท็จจริงว่าท่านมีทรัพย์สินอะไรบ้าง การตรวจสอบเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนจะเกิดขึ้นไม่ได้ จริงๆ แล้ววิธีที่ชัดเจนที่สุดที่จะปลดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนคือการขายขาด อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีที่สุดคือเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะว่าเรามีทรัพย์สินอะไรบ้าง เพื่อให้มีการตรวจสอบได้ และที่ไม่ควรเลยคือการโอนเข้าไปในที่ๆ มองไม่เห็น” นายกรณ์ ตั้งข้อสังเกตในวันนั้น
ผลปรากฏว่า กลุ่มคนที่ศรัทธานิยมชมชอบนายธนาธร เข้าไปต่อว่าด่าทอนายกรณ์กันอย่างมากมาย
มาบัดนี้ นายธนาธรยังไม่มีการแจ้งต่อ ป.ป.ช.ว่า ดำเนินการโอนสินทรัพย์และหุ้นให้กับกองทุนดูแล หรือ Trust ตามที่เคยแถลงข่าวลงนามบันทึกข้อตกลงการทำ Trust หรือที่นายธนาธร เรียกว่า “Blind Trust” (บลายด์ทรัสต์) กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด (มหาชน) แต่อย่างใด
แหล่งข่าวจากนักวิชาการทางการเงิน ระบุว่า นายธนาธรบอกว่าจะยกระดับมาตรฐานนักการเมืองด้วยการตั้ง Blind trust แต่ก็ไม่ได้ทำ และไม่ชี้แจงเอง ทั้งที่ช่วงก่อนเลือกตั้งแถลงไว้อย่างครึกโครม
“สรุปให้ง่ายๆ คือ ณ วันนี้ Blind Trust ในเมืองไทยไม่มีกฎหมายรองรับ คุณกรณ์พูดถูกว่ามันไม่มีตั้งแต่แรก แต่การไม่มีถือว่าเป็นเรื่องดีกว่า เพราะเราจะสามารถเห็นได้ว่านักการเมืองแต่ละคนมีอะไรบ้างตามที่รายงานในการเปิดเผยของ ป.ป.ช.และในกรณีที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน นักการเมืองจะไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบด้วยการอ้างว่า “โอนเข้า Blind trust แล้ว” และการที่นายธนาธรอ้าง Blind Trust เป็นการยกระดับมาตรฐานนั้น เป็นเรื่องไม่จริงก็แย่อยู่แล้ว ตอนนี้ให้คนอื่นๆ ในพรรคมาย้ำว่าบอกจะทำแต่ไม่ได้ทำนั้นแย่ยิ่งกว่า” แหล่งข่าวระบุ
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า เรื่องนี้แม้ไม่ได้มีข้อกฎหมายใดบังคับว่าให้นายธนาธรต้องทำตามที่ประกาศเอาไว้ แต่นายธนาธร บอกเองว่าต้องการสร้างมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองใหม่ และเพื่อป้องกันข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกับธุรกิจของครอบครัว เมื่อนายธนาธรได้รับการเลือกตั้งเป็น สส.แล้ว ก็ควรปฏิบัติตามที่ประกาศไว้ เพราะเหนือข้อกฎหมายใด ก็คือ สัญญาประชาคม ที่เหมือนเป็นข้อตกลงกับประชาชน เมื่อนายธนาธรไม่ได้ทำตามที่ประกาศไว้ อาจทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นวาทกรรมหาเสียง เรียกคะแนนนิยมในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง
“นายธนาธรประกาศเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2562 ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งเพียงแค่ 6 วัน ซึ่งอาจเข้าข่ายผิดมาตรา 73 (5) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 ที่บัญญัติว่า หลอกลวง ... หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ซึ่งจะมีโทษตามมาตรา 159 จําคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่20,000-200,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี ซึ่งได้เคยมีผู้ยื่นร้องเรียนต่อ กกต.ไปแล้ว”
น.ส.ทิพานัน กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เมื่อประกอบกับเรื่องราวในอดีต ทั้งการลงประวัติของตนเองว่าเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 2 สมัยติดต่อกัน ทั้งที่ความจริงเป็นเพียงประธานสภาอุตสาหกรรม จ.นครนายก หรือการให้สัมภาษณ์ข้อมูลวันโอนหุ้นที่กลับไปกลับมา จนต้องกล่าวว่านักข่าวถามคำถามผิด รวมถึงการให้สัมภาษณ์ยอดเงินกู้พรรคที่ไม่ตรงกันกับบัญชีทรัพย์สินที่แสดงจริง ยิ่งทำให้สังคมเกิดความสงสัยถึงความน่าเชื่อถือในคำพูดของนายธนาธร
ส่วนกรณีที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ชี้แจงว่าที่นายธนาธร ยังไม่ได้โอนทรัพย์สินเข้าบลายด์ทรัสต์ เพราะยังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ สส.นั้น เป็นการอ้างแบบศรีธนญชัย ขาดเหตุผลทางความคิดของนักกฎหมาย เพราะถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้นายธนาธรหยุดปฏิบัติหน้าที่ก็จริง แต่สถานะของนายธนาธร ยังเป็น สส.อยู่ ดังนั้น จึงทำให้นายธนาธรมีหน้าที่ต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.จนทำให้ประชาชนทราบว่าบลายด์ทรัสต์ของนายธนาธรนั้นไม่มีจริง
และล่าสุด น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ความเป็นจริงก็คือ ถ้าย้อนกลับไปดูข่าว มันคือการทำ เอ็มโอยู (MOU) ยังไม่ใช่การโอนไปและเมื่อนายธนาธรถูกระงับปฏิบัติหน้าที่ สส.จึงทำหนังสือเลื่อนการปฏิบัติตามเอ็มโอยูไปก่อนนั้น ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า ถ้านายธนาธรต้องการสร้างมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองใหม่และความโปร่งใสจริงๆ ทำไมเมื่อมีการทำหนังสือแจ้งเลื่อนการปฏิบัติตามเอ็มโอยู นายธนาธรไม่แจ้งให้สังคมทราบเอง แต่กลับให้ประชาชนตรวจสอบและทราบข้อมูลเองจากบัญชีทรัพย์สินว่าบลายด์ทรัสต์ของนายธนาธรนั้นไม่มีจริง ประชาชนจึงเกิดความสงสัยในมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองใหม่ ในมาตรฐานของนายธนาธร และพรรคอนาคตใหม่
เมื่อได้ไล่เลียงข้อมูลมาครบถ้วนแล้ว ผมขอย้ำว่า เรื่องนี้จึงมี 3 ประเด็นให้ขบคิดและติดตาม
1) สิ่งที่ธนาธรและพวกทำ เป็น “ความกะล่อน” หรือไม่อวดโอ่เพื่อเอาคะแนนนิยม แต่สุดท้ายไม่ปฏิบัติตามและเลี่ยงเป็นศรีธนญชัย ใช่หรือไม่
2) ตามดูกันด้วยครับ ว่านางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้เป็นมารดาของธนาธร ถอนหุ้นออกจากมติชนแล้วหรือยัง
3) เรื่องนี้จะมีคนเอาผิดธนาธรหรือไม่ ให้คอยติดตาม
นี่คือนิยามของ “นักการเมืองหน้าใหม่” ที่จะมาสร้าง มาตรฐานใหม่ ในนามพรรค “อนาคตใหม่” มีอะไรจากไปจากนักการเมืองกะล่อนๆ ที่เราเคยเห็นกันมา?

'อนุทิน'ดอดเยี่ยมศูนย์อพยพบุรีรัมย์ โชว์ทำส้มตำ-หอยทอด พร้อมร้องเพลงให้ชาวบ้านฟัง
'กัญจนา'เคารพศพ'พลทหารบุ้ง' พลีชีพปกป้องอธิปไตยของชาติ
'โสภณ'ลั่น!รัฐบาลชุดนี้ ไม่ได้อยากเกิดสงคราม แต่ทำเพื่อปกป้องอธิปไตย
ทบ.ชี้พฤติการณ์กัมพูชา กักกัน'คนไทย'อาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม
'บิ๊กเล็ก'ย้ำ!ใน'สนามรบ' ข้อมูลข่าวสารต้องสื่อสารอย่างมีเอกภาพ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี