ย้อนไปเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการเลือกตั้งเฟซบุ๊คของ เดอะ สแตนดาร์ด รายงานข่าวว่า
“...เช้าวันนี้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวถึงกรณีการจัดการทรัพย์สินของตนเองเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำทางกฎหมาย และเพื่อสร้างมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้มีความโปร่งใสมากขึ้น โดยจะนำทรัพย์สินของตนไปให้บริษัทจัดการทรัพย์สิน คือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด
...นายธนาธรกล่าวว่าการที่นักธุรกิจเข้ามาทำงานการเมืองไม่ใช่เรื่องใหม่ และในต่างประเทศมีการสร้างมาตรฐานเพื่อให้สาธารณชนไว้วางใจอย่างชัดเจน ซึ่งรูปแบบที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดคือ Blind Trust หรือการโอนทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมดเข้าไปอยู่ในกองทุนโดยให้บุคคลที่สามเป็นผู้ดูแล และทำให้ Blind คือหมายความว่าเจ้าของทรัพย์สินจะมองไม่เห็น และอำนาจในการบริหารทรัพย์สินอยู่ที่ผู้รับมอบอำนาจแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น
...นายธนาธรกล่าวต่อไปว่า แม้ในรัฐธรรมนูญปัจจุบันระบุไว้แล้วว่าให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการถือหุ้นบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ และรัฐมนตรีจะต้องโอนทรัพย์สินให้บริษัทจัดการทรัพย์สินเป็นผู้ดูแล แต่ไม่ได้ระบุว่าต้องทำให้เป็น Blind ทั้งนี้ ในต่างประเทศที่เป็นประชาธิปไตยส่วนใหญ่ นักการเมืองจะนำทรัพย์สินของตนเองเข้าไปอยู่ใน Blind Trust เป็นมาตรฐานทางศีลธรรมที่ไม่ได้มีการบังคับ นี่คือรูปแบบการจัดการทรัพย์สินที่จะลบข้อครหาทางสังคมได้ ทั้งนี้ ในประเทศไทยไม่มีกฎหมายที่รองรับ Blind Trustจึงทำเป็น Blind Trust ในลักษณะเดียวกันไม่ได้ แต่สิ่งที่ตนกำลังจะทำร่วมกับภัทรเป็นนวัตกรรมใหม่ เป็นการทำให้ Blind ด้วยความสมัครใจโดยไม่ต้องมีกฎหมายมาบังคับ
“ผมอยากจะสร้างมาตรฐานการทำการเมืองใหม่ ผมว่าข้อดีอันดับแรกคือไม่ต้องวอกแวกไปกับการจัดการทรัพย์สินของตัวเอง ทำให้เราทุ่มเทพละกำลังและเวลาของเราในการทำงานรับใช้ประชาชนได้อย่างเต็มที่ ประการที่สอง มันแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ผลักดันให้พวกเรามาทำงานการเมืองก็เพื่อทำให้สังคมดีขึ้น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แม้จะมีขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดให้เราทำ แต่สิ่งที่เราจะทำให้มากกว่านั้นคือสร้างมาตรฐานใหม่ ยกระดับความโปร่งใส สร้างมาตรฐานการดูแลผลประโยชน์ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้ไปไกลกว่ากฎหมาย” นายธนาธรกล่าว
...นอกจากนี้นายธนาธรยังได้ระบุถึงบางส่วนของเงื่อนไขที่อยู่ใน MOU ระหว่างตนกับภัทร คือจะต้องไม่ซื้อหุ้นไทยทุกตัว
และถ้าจะลงในหุ้น จะต้องลงทุนในหุ้นต่างประเทศอย่างเดียว เพื่อจำกัดข้อครหาทุกกรณีว่านโยบายที่ออกไปนั้นจะเอื้อต่อผลประโยชน์ส่วนตน นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขที่ระบุว่าการได้กรรมสิทธิ์ในการบริหารจัดการทรัพย์สินกลับมาเป็นของตัวเองจะต้องผ่านไปแล้ว 3 ปีหลังจากพ้นตำแหน่งทางการเมืองเท่านั้น
...นอกจากนี้ นายธนาธรยังได้ประกาศถึงกรณี นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของตน จะทำการขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทมติชนออกไปในระยะเวลาอันใกล้นี้ พร้อมระบุว่าก่อนหน้านี้ตนไม่เคยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซื้อหุ้นมติชนของครอบครัวเลยเพียงถูกส่งไปนั่งทำงานเป็นกรรมการบริหารเพียงอย่างเดียว โดยทำหน้าที่อย่างสุจริตมาตลอด และหลังจากตัดสินใจลาออกจากทุกตำแหน่งทางธุรกิจมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจ ก็ไม่เคยส่งใครไปนั่งบริหารแทนตนเลยตั้งแต่นั้นมา และที่ผ่านมาก็ไม่เคยทำการแทรกแซงหรือสั่งการใดๆ แต่เพื่อความโปร่งใสและสบายใจของสังคม นางสมพรก็เตรียมที่จะขายหุ้นออกไปในเร็วๆ นี้
...ส่วนกรณีข้อครหาว่าการทำงานการเมืองของตนจะมีผลประโยชน์กับบริษัทไทยซัมมิทหรือไม่ ตนยืนยันว่ารายได้เกือบทั้งหมดของไทยซัมมิทมาจากคู่ค้าระดับนานาชาติทั้งหมด แทบไม่มีหน่วยงานรัฐเลย และที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็ไม่เคยเป็นคู่สัมปทานกับรัฐ ไม่เคยมีแนวคิดที่จะทำธุรกิจกับรัฐ และเชื่อว่าแนวคิดนี้จะดำรงอยู่ต่อไป แต่หากในอนาคตบริษัทไทยซัมมิทจะมีการทำโครงการร่วมกับรัฐ ตนจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการพิจารณาใดๆ ทั้งสิ้น และขอให้สาธารณะร่วมกันตรวจสอบอย่างเข้มข้นด้วย
“นักธุรกิจที่เข้ามาทำงานการเมืองไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิดเสมอไปว่าจะต้องมากอบโกยหาผลประโยชน์ เราต้องการที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ ซึ่งสิ่งที่ผมกำลังจะทำกับภัทรจะเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ไกลเกินกว่าใครๆ และไกลเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด” นายธนาธรกล่าว
หลังมีข่าวนี้ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จากพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นไว้ใน 4 ประเด็น ว่า 1.“Blind Trust” ยังไม่มีจริงในประเทศไทย เพราะยังไม่มีกฎหมายรองรับ เพราะฉะนั้นที่คุณธนาธรลงนามไปนั้น ไม่ใช่ Blind Trust และไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน 2.นายธนาธรได้โอนทรัพย์สินให้สถาบันการเงินดูแล อันนี้หลายคนน่าจะเคยทำเหมือนกัน ผมก็เคยและวันนี้ก็ยังมีอยู่ โดยที่ผมก็ได้ลงนามสัญญาให้เขาบริหารโดยอิสระเช่นเดียวกัน 3.ตัวผมเองเคยมี Trust อยู่ที่ต่างประเทศ และรายงานรายละเอียดทั้งหมดกับ ป.ป.ช.ตามกฎหมายว่าด้วยเรื่องการรายงานบัญชีทรัพย์สิน และ 4.หลายปีมาแล้วที่ผมตัดสินใจทำสวนทางกับที่นายธนาธรพยายามที่จะทำ คือ ได้ยกเลิก Trust ที่มีอยู่ เนื่องจากคิดว่าความโปร่งใสสำคัญกว่า
“ผมคิดว่าประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในสิ่งที่คุณธนาธรได้ประกาศวันนี้ ไม่ใช่ว่าท่านเป็นคนแรกหรือไม่ แต่ที่ท่านบอกว่าทรัพย์สินที่ท่านโอนไปนี้จะ “มองไม่เห็น” มันเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะเมื่อทุกคนบอดสนิทกับข้อเท็จจริงว่าท่านมีทรัพย์สินอะไรบ้าง การตรวจสอบเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนจะเกิดขึ้นไม่ได้ จริงๆ แล้ววิธีที่ชัดเจนที่สุดที่จะปลดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนคือการขายขาด อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีที่สุดคือเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะว่าเรามีทรัพย์สินอะไรบ้าง เพื่อให้มีการตรวจสอบได้ และที่ไม่ควรเลยคือการโอนเข้าไปในที่ๆ มองไม่เห็น” นายกรณ์ ตั้งข้อสังเกตในวันนั้น
ผลปรากฏว่า กลุ่มคนที่ศรัทธานิยมชมชอบนายธนาธร เข้าไปต่อว่าด่าทอนายกรณ์กันอย่างมากมาย
มาบัดนี้ นายธนาธรยังไม่มีการแจ้งต่อ ป.ป.ช.ว่า ดำเนินการโอนสินทรัพย์และหุ้นให้กับกองทุนดูแล หรือ Trust ตามที่เคยแถลงข่าวลงนามบันทึกข้อตกลงการทำ Trust หรือที่นายธนาธร เรียกว่า “Blind Trust” (บลายด์ทรัสต์) กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด (มหาชน) แต่อย่างใด
แหล่งข่าวจากนักวิชาการทางการเงิน ระบุว่า นายธนาธรบอกว่าจะยกระดับมาตรฐานนักการเมืองด้วยการตั้ง Blind trust แต่ก็ไม่ได้ทำ และไม่ชี้แจงเอง ทั้งที่ช่วงก่อนเลือกตั้งแถลงไว้อย่างครึกโครม
“สรุปให้ง่ายๆ คือ ณ วันนี้ Blind Trust ในเมืองไทยไม่มีกฎหมายรองรับ คุณกรณ์พูดถูกว่ามันไม่มีตั้งแต่แรก แต่การไม่มีถือว่าเป็นเรื่องดีกว่า เพราะเราจะสามารถเห็นได้ว่านักการเมืองแต่ละคนมีอะไรบ้างตามที่รายงานในการเปิดเผยของ ป.ป.ช.และในกรณีที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน นักการเมืองจะไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบด้วยการอ้างว่า “โอนเข้า Blind trust แล้ว” และการที่นายธนาธรอ้าง Blind Trust เป็นการยกระดับมาตรฐานนั้น เป็นเรื่องไม่จริงก็แย่อยู่แล้ว ตอนนี้ให้คนอื่นๆ ในพรรคมาย้ำว่าบอกจะทำแต่ไม่ได้ทำนั้นแย่ยิ่งกว่า” แหล่งข่าวระบุ
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า เรื่องนี้แม้ไม่ได้มีข้อกฎหมายใดบังคับว่าให้นายธนาธรต้องทำตามที่ประกาศเอาไว้ แต่นายธนาธร บอกเองว่าต้องการสร้างมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองใหม่ และเพื่อป้องกันข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกับธุรกิจของครอบครัว เมื่อนายธนาธรได้รับการเลือกตั้งเป็น สส.แล้ว ก็ควรปฏิบัติตามที่ประกาศไว้ เพราะเหนือข้อกฎหมายใด ก็คือ สัญญาประชาคม ที่เหมือนเป็นข้อตกลงกับประชาชน เมื่อนายธนาธรไม่ได้ทำตามที่ประกาศไว้ อาจทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นวาทกรรมหาเสียง เรียกคะแนนนิยมในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง
“นายธนาธรประกาศเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2562 ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งเพียงแค่ 6 วัน ซึ่งอาจเข้าข่ายผิดมาตรา 73 (5) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 ที่บัญญัติว่า หลอกลวง ... หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ซึ่งจะมีโทษตามมาตรา 159 จําคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่20,000-200,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี ซึ่งได้เคยมีผู้ยื่นร้องเรียนต่อ กกต.ไปแล้ว”
น.ส.ทิพานัน กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เมื่อประกอบกับเรื่องราวในอดีต ทั้งการลงประวัติของตนเองว่าเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 2 สมัยติดต่อกัน ทั้งที่ความจริงเป็นเพียงประธานสภาอุตสาหกรรม จ.นครนายก หรือการให้สัมภาษณ์ข้อมูลวันโอนหุ้นที่กลับไปกลับมา จนต้องกล่าวว่านักข่าวถามคำถามผิด รวมถึงการให้สัมภาษณ์ยอดเงินกู้พรรคที่ไม่ตรงกันกับบัญชีทรัพย์สินที่แสดงจริง ยิ่งทำให้สังคมเกิดความสงสัยถึงความน่าเชื่อถือในคำพูดของนายธนาธร
ส่วนกรณีที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ชี้แจงว่าที่นายธนาธร ยังไม่ได้โอนทรัพย์สินเข้าบลายด์ทรัสต์ เพราะยังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ สส.นั้น เป็นการอ้างแบบศรีธนญชัย ขาดเหตุผลทางความคิดของนักกฎหมาย เพราะถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้นายธนาธรหยุดปฏิบัติหน้าที่ก็จริง แต่สถานะของนายธนาธร ยังเป็น สส.อยู่ ดังนั้น จึงทำให้นายธนาธรมีหน้าที่ต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.จนทำให้ประชาชนทราบว่าบลายด์ทรัสต์ของนายธนาธรนั้นไม่มีจริง
และล่าสุด น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ความเป็นจริงก็คือ ถ้าย้อนกลับไปดูข่าว มันคือการทำ เอ็มโอยู (MOU) ยังไม่ใช่การโอนไปและเมื่อนายธนาธรถูกระงับปฏิบัติหน้าที่ สส.จึงทำหนังสือเลื่อนการปฏิบัติตามเอ็มโอยูไปก่อนนั้น ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า ถ้านายธนาธรต้องการสร้างมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองใหม่และความโปร่งใสจริงๆ ทำไมเมื่อมีการทำหนังสือแจ้งเลื่อนการปฏิบัติตามเอ็มโอยู นายธนาธรไม่แจ้งให้สังคมทราบเอง แต่กลับให้ประชาชนตรวจสอบและทราบข้อมูลเองจากบัญชีทรัพย์สินว่าบลายด์ทรัสต์ของนายธนาธรนั้นไม่มีจริง ประชาชนจึงเกิดความสงสัยในมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองใหม่ ในมาตรฐานของนายธนาธร และพรรคอนาคตใหม่
เมื่อได้ไล่เลียงข้อมูลมาครบถ้วนแล้ว ผมขอย้ำว่า เรื่องนี้จึงมี 3 ประเด็นให้ขบคิดและติดตาม
1) สิ่งที่ธนาธรและพวกทำ เป็น “ความกะล่อน” หรือไม่อวดโอ่เพื่อเอาคะแนนนิยม แต่สุดท้ายไม่ปฏิบัติตามและเลี่ยงเป็นศรีธนญชัย ใช่หรือไม่
2) ตามดูกันด้วยครับ ว่านางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้เป็นมารดาของธนาธร ถอนหุ้นออกจากมติชนแล้วหรือยัง
3) เรื่องนี้จะมีคนเอาผิดธนาธรหรือไม่ ให้คอยติดตาม
นี่คือนิยามของ “นักการเมืองหน้าใหม่” ที่จะมาสร้าง มาตรฐานใหม่ ในนามพรรค “อนาคตใหม่” มีอะไรจากไปจากนักการเมืองกะล่อนๆ ที่เราเคยเห็นกันมา?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี