พักนี้มีข่าวคราวการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์เกิดขึ้นไม่ขาดระยะ และก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และการตอบโต้กันในประการต่างๆ จนกระทั่งหาข้อยุติอันใดมิได้
ความคิดเห็นที่แตกต่างกันเหล่านั้นต่างแสดงกันในส่วนที่เป็นปลายเหตุ แต่ส่วนที่เป็นหลักหรือที่เป็นต้นเหตุนั้นหามีผู้ใดแสดงไม่ ดังนั้นคนทั้งหลายจึงได้แต่ฟังความกันไปและคิดเห็นกันไปตามทัศนะของแต่ละคน
โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันนี้ซึ่งเป็นยุคถือพรรคถือพวกกันเป็นใหญ่ ไม่ได้ถือเหตุผลข้อเท็จจริงหรือความถูกผิดเป็นใหญ่ จึงทำให้เรื่องนี้กลายเป็นความขัดแย้งในบ้านเมืองเพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง
ดังนั้นเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องถ่องแท้ของเรื่องนี้ จำเป็นที่จะต้องแสดงเรื่องหลักนิยมแห่งอาวุธ ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นของความคิดเชิงยุทธศาสตร์ของชาติ และแสดงออกโดยการปฏิบัติในการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้สอดคล้องกัน ซึ่งเพียงพอที่จะใช้เป็นหลักในการวัดว่าการใดควรหรือไม่ควร จะได้ไม่ต้องโต้เถียงกันไปตามกระแส
หลักนิยมแห่งอาวุธนั้นมีปฐมบทเกิดจากยุคแรกเริ่มของมวลมนุษย์ที่รู้จักใช้อาวุธในการประหัตประหารกัน ซึ่งเป็นยุคหลังสุดของยุคหินที่ใช้ก้อนหินหรือท่อนไม้ขว้างปาทุบตีกัน มาถึงขั้นที่มนุษย์รู้จักใช้หอกและโล่เป็นอาวุธหลักในการยุทธนาการแก่กัน
โล่เป็นยุทโธปกรณ์สำหรับเชิงรับ ในขณะที่หอกเป็นยุทโธปกรณ์สำหรับเชิงรุก
เมื่อโล่พัฒนามาโดยลำดับ การพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ก็พัฒนาไปโดยลำดับ แต่ก็ยังยืนอยู่บนหลักการหลักนิยมเชิงรับหรือเชิงรุก ที่มีปฐมบทแรกเริ่มแห่งการใช้อาวุธเชิงรุกคือหอก เชิงรับคือโล่นั่นเอง
เมื่อแรกเริ่มที่มนุษย์รู้จักใช้รถถังในการสงคราม รถถังนั้นก็คืออาวุธยุทโธปกรณ์เชิงรุก เพราะสามารถใช้รถถังในการรุกรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อมาก็พัฒนาไปเป็นเครื่องบินและขีปนาวุธต่างๆ ซึ่งล้วนจัดอยู่ในหลักนิยมแห่งอาวุธเชิงรุก
เรือรบต่างๆ ก็เป็นหลักนิยมแห่งอาวุธเชิงรุก เพราะใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการรุกรบทั้งระยะใกล้และระยะไกล ในขณะที่ปืนใหญ่ต่อสู้ชายฝั่งได้กลายสภาพเป็นอาวุธเชิงรับ
ดังนั้นการที่ชาติใดจะจัดซื้อจัดหาอาวุธประการใด สิ่งที่ต้องคำนึงและจัดวางในเชิงยุทธศาสตร์ก่อนเพื่อนก็คือชาตินั้นจะถือยุทธศาสตร์เชิงรุกหรือเชิงรับ จึงจะสามารถจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติได้
หากชาติใดมีวัตถุประสงค์ในการรุกรบรุกรานหรือปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติที่อยู่ไกลออกไปจากดินแดนของตนหรือออกไปจากดินแดนอันเป็นอธิปไตยของตน ก็ต้องกำหนดยุทธศาสตร์เชิงรุก และต้องจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ในเชิงรุกให้สอดคล้องต้องกัน
หากชาติใดมีวัตถุประสงค์ตั้งมั่นไม่รุกรานรบพุ่งกับชาติอื่น ยึดมั่นในการปกปักรักษาผลประโยชน์ในเขตแดนของตน ก็ต้องกำหนดยุทธศาสตร์เชิงรับ และต้องจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์เชิงรับให้สอดคล้องต้องกัน
เนื่องจากยุทธศาสตร์เชิงรุกนั้นมีพื้นที่กว้างขวางตามที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์นั้น ทั้งต้องเปรียบเทียบศักยะสงครามกับประเทศที่คาดหมายว่าเป็นคู่ขัดแย้ง หรือเป็นคู่แข่ง หรือเป็นอันตราย หรือที่จะเป็นคู่ศึกสงคราม จึงต้องจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ในเชิงรุกที่จะสามารถเป็นฝ่ายกระทำและเอาชัยชนะอีกฝ่ายหนึ่งได้
ดังนั้นในการดำเนินยุทธศาสตร์เชิงรุก จึงต้องจัดซื้อจัดหาและมีไว้ซึ่งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สอดคล้องกับเชิงรุกจำนวนมากมายมหาศาลตามที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมพร่าผลาญงบประมาณแผ่นดินและกระทบต่อประเทศอย่างรุนแรง
ส่วนชาติที่ดำเนินยุทธศาสตร์เชิงรับนั้นไม่มุ่งหมายที่จะรุกรานรบพุ่งกับชาติใด จึงจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้เฉพาะกับการตั้งรับ หรือรับมือกับภยันตรายที่จะมาจากภายนอกทั้งระยะใกล้และระยะไกล ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นระยะใกล้ หรือประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกัน
ประเทศไทยของเราตั้งแต่ยุคสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี มาจนถึงรัตนโกสินทร์ มีความชัดเจนในเรื่องยุทธศาสตร์ของชาติว่าเป็นยุทธศาสตร์เชิงรับ คือไม่ได้คิดที่จะรบพุ่งรุกรานชาติใด จึงคิดตระเตรียมเฉพาะการรับมือหรือการตั้งรับจากการรุกรานจากภายนอกซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศเพื่อนบ้าน ที่จะมีไกลออกไปก็มีเพียงครั้งเดียวคือการรุกรานยึดครองของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น
และความจริงก็ไม่ใช่ถูกยึดครองรุกรานเพราะได้สมรู้กันมาก่อนหน้าให้ญี่ปุ่นเข้ามาตั้งมั่นตั้งฐานปฏิบัติการทางทหารอยู่ช้านานแล้ว พอญี่ปุ่นรุกเข้ายึดก็ประกาศเข้าร่วมศึกสงครามกับญี่ปุ่นจนหวิดจะสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินไปแล้ว
นอกจากครั้งเดียวนี้แล้ว ประเทศไทยได้ถือยุทธศาสตร์เชิงรับ ดังนั้นการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์จึงเป็นเชิงรับทั้งสิ้น
ในสถานการณ์ปัจจุบันภัยคุกคามจากประเทศเพื่อนบ้านนับว่าน้อยลงกว่าทุกระยะที่ผ่านมาเพราะได้ดำเนินวิเทโศบายที่เป็นมิตรทั่วด้าน โดยเฉพาะกับเมียนมา ลาว กัมพูชา แม้แต่มาเลเซีย ซึ่งถึงแม้จะมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เปลี่ยนสภาพทางยุทธศาสตร์เป็นเชิงรุก ประเทศไทยจึงยังคงใช้ยุทธศาสตร์เชิงรับตลอดมา
และในยุทธศาสตร์เชิงรับนั้น การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ จึงต้องสอดคล้องรองรับกับยุทธศาสตร์เชิงรับนั้น จึงจะทำให้ยุทธศาสตร์เชิงรับนั้นมีอานุภาพเพียงพอต่อการตั้งรับ
ถ้าหากเกิดความไขว้เขวตั้งยุทธศาสตร์เชิงรับ แต่การจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นเชิงรุกก็ย่อมสูญเสียงบประมาณเปล่า และเป็นการจัดซื้อจัดหามาโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ ทั้งยังก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจแก่ประเทศเพื่อนบ้าน เข้าทำนอง “ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน” นั่นเอง
หลักการดังกล่าวนี้จึงสามารถนำไปใช้วัดเรื่องราวเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ในปัจจุบันได้ ก็ลองวัดกันดูว่าจะเป็นประการใด!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี