หลังจากโยนก้อนหินถามทางลองเชิงกันมาหลายครั้งหลายหนตลอดระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา ถึงบัดนี้ก็เริ่มมีความชัดเจนว่าในระยะต่อไปอาจจะต้องขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT จาก 7% เป็น 8%
หมายถึงประชาชนจะต้องเสียภาษีจากการจ่ายเงินซื้อสินค้าหรือบริการทั้งหลายเพิ่มขึ้นจากที่เคยเสีย 7% ของมูลค่าสินค้าหรือบริการก็จะต้องเสียเป็น 8%
ดังตัวอย่างเช่น ซื้อสินค้าหรือบริการใดในราคา 100 บาท ซึ่งเคยเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VATในอัตรา 7 บาท ก็จะต้องเสียเพิ่มเป็น 8 บาท คือจะต้องจ่ายเงินรวมทั้งสินค้าและบริการ และ VAT เป็น 108 บาท
ที่น่าแปลกใจก็คือมาคราวนี้มีข่าวที่มีข้อความชัดเจนว่าขอร้องให้ประชาชนเสียสละในการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 8% เพื่อทำให้รัฐบาลมีรายได้
เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 100,000 ล้านบาท เพื่อจะได้นำเงินเหล่านี้ไปใช้จ่ายตามงบประมาณแผ่นดินต่อไป
คอลัมน์นี้มีจุดยืนแน่วแน่มาหลายปีแล้ว และได้นำเสนอต่อเนื่องมาหลายปีแล้วให้รัฐบาลเพิ่ม VAT จาก 7% เป็น 8% เพื่อให้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศเข้าสู่ระบบและเป็นมาตรฐานสากล แต่ไม่ใช่ขึ้น VAT อย่างเดียว หากต้องลดอัตราภาษีเงินได้ให้สอดคล้องกันด้วย
เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องขอร้องให้ประชาชนเสียสละ หากเป็นเรื่องอันควรทำและควรต้องทำมานานแล้ว เพราะประเทศไทยได้นำระบบภาษีมูลค่าเพิ่มเข้ามาใช้กว่า 30 ปีแล้ว แต่กลับไม่พัฒนาให้ก้าวหน้าไปถึงไหน เพราะรัฐบาลมัวแต่จะกลัวคะแนนเสียงโดยมิได้คำนึงถึงความถูกต้อง จึงทำให้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศไม่สมบูรณ์และล้าหลังอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้
แต่ทว่าเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันทั้งรัฐบาลและประชาชน จึงสมควรแสดงเรื่องนี้พอเป็นทางแห่งความเข้าใจร่วมกัน ก็จะเป็นหนทางในการเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มและทำให้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศสมบูรณ์และเป็นสากล
ก่อนอื่นก็ต้องกล่าวว่าภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นเป็นระบบภาษีชนิดหนึ่งที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายเงิน ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา โดยมีอัตรามาตรฐาน 10% ส่วนจะมากจะน้อยกว่านี้ก็สุดแท้แต่ความจำเป็นของแต่ละประเทศ
ส่วนภาษีเงินได้นั้นเป็นภาษีที่จัดเก็บจากเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา และจากกำไรสุทธิสำหรับนิติบุคคล
สรุปง่ายๆ ว่า VAT นั้นเก็บจากการจ่าย ส่วนภาษีเงินได้เก็บจากเงินได้
แต่ก่อนร่อนชะไรมาประเทศไทยจัดเก็บภาษีโดยถือระบบจัดเก็บจากเงินได้และจัดเก็บในอัตราที่สูงมาก คือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจัดเก็บสูงถึง 37% ส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคลก็เคยจัดเก็บสูงถึง 30% และเพราะอัตราภาษีที่จัดเก็บสูงมากอย่างนี้จึงจูงใจให้คนทั้งหลายไม่เสียหรือหลีกเลี่ยงการเสียภาษีจำนวนมาก
ต่อมามีระบบภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นในโลกซึ่งมีความเป็นธรรม เพราะจัดเก็บจากทุกคนทุกกรณีที่มีการจ่ายเงิน เป็นระบบภาษีที่จัดเก็บจากรายจ่ายซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่งของภาษีเงินได้ที่จัดเก็บจากเงินได้ และประเทศทั้งหลายที่นำระบบภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้บ้างก็ได้ยกเลิกภาษีเงินได้ไปเลย คงเก็บแต่ภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างเดียวแต่ในอัตราที่สูงอาจจะถึง 15%
บางประเทศก็จัดเก็บผสมคือจัดเก็บทั้งภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยลดอัตราภาษีเงินได้ลง และจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรามาตรฐานประมาณ 10%
สำหรับประเทศไทยได้เลือกระบบผสม คือนำระบบภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้บังคับกำหนดอัตรามาตรฐาน 10% แต่ในระยะเริ่มแรกที่นำระบบนี้มาใช้ก็ผ่อนผัน
จัดเก็บ VAT เพียง 7% โดยรวมภาษีท้องถิ่นไว้ด้วยแล้ว ในขณะเดียวกันก็ลดอัตราภาษีเงินได้ลง ดังที่จัดเก็บกันอยู่ในปัจจุบันนี้
ความจริงประเทศไทยควรจะปรับปรุงอัตราภาษีในรูปแบบผสมนี้ให้ก้าวหน้าสมบูรณ์ขึ้นโดยลำดับวันเวลาที่ผ่านไป แต่ปรากฏว่ารัฐบาลที่ผ่านมามัวจะคิดถึงผลกระทบด้านคะแนนเสียง หรือในยามปฏิวัติรัฐประหารผู้รับผิดชอบก็ไม่ทราบเรื่องหรือไม่ก็กลัวผลกระทบโดยไม่เข้าใจสภาพของเรื่อง จึงทำให้อัตราภาษียังคงเดิมเหมือนตั้งแต่แรกเริ่มนำมาใช้
แต่ทว่าระบบจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นภาระอยู่ที่ผู้เสียภาษีและผู้จัดเก็บซึ่งเป็นภาคประชาชน เมื่อจัดเก็บแล้วก็นำภาษีนั้นส่งแก่เจ้าพนักงาน เท่ากับว่ามีผู้จัดเก็บภาษีแทนรัฐบาลทั่วประเทศจำนวนมากมาย ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มจึงประหยัดค่าใช้จ่ายในทางบริหารลง
ตรงกันข้ามกับภาษีเงินได้ที่ต้องตั้งเจ้าหน้าที่ไปจัดเก็บทั่วประเทศและต้องตรวจสอบกันจ้าละหวั่น ทำให้มีรายจ่ายในการบริหารสูงมาก ในขณะที่จำนวนผู้เสียภาษีก็มีน้อยกว่าน้อย ดังเช่นปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีประชากร 70 ล้านคน แต่มีผู้เสียภาษีจริงๆ ไม่เกิน 2 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมที่ดำรงอยู่ในระบบภาษีและเป็นต้นเหตุของความเหลื่อมล้ำที่สำคัญด้วย
ดังนั้นหากจะมีการปรับปรุงภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะเป็นความถูกต้องในหลักการอย่างยิ่งและเป็นเรื่องที่ควรทำให้สำเร็จในรัฐบาล แต่จะขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างเดียวนั้นไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของระบบภาษี และไหนๆ จะต้องปรับปรุงกันแล้ว ควรจะมีความกล้าหาญเด็ดขาดและกำหนดนโยบายในเรื่องนี้ให้ชัดเจนเด็ดขาดดังนี้คือ
ให้จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นอัตรา 10% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป และให้ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลงเหลือจัดเก็บอัตราเดียว 10-12% (แล้วแต่รัฐบาลจะตัดสินใจ) และลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลงเหลือจัดเก็บอัตราเดียว 10%
ก็จะเป็นคุณูปการใหญ่หลวงต่อบ้านเมือง ที่สำคัญจะทำให้ระบบภาษีของประเทศไทยเข้าระบบที่สมบูรณ์และเป็นธรรมมากกว่าที่ผ่านมา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี