สังเกตกันดูนะครับ ว่าปัญหาของพรรคอนาคตใหม่ มักเกิดจากบุคคลเพียง 3 คนคือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (หัวหน้าพรรค)นายปิยบุตร แสงกนกกุล (เลขาธิการพรรค) และนางสาวพรรณิการ์ วานิช (โฆษกพรรค)
ธนาธรมีความประมาทเลินเล่อ ไม่สามารถพิสูจน์การโอนหุ้นวี-ลัค มีเดีย ให้สิ้นสงสัยได้ ต้องพ้นสภาพการเป็น สส. แต่พลิกเกมกลับ ให้ กกต. กับศาลเป็นผู้น่าสงสัยแทน ปิยบุตร แสงกนกกุล ตีความกฎหมายผิดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยืนยันการตีความนั้นให้ “ลูกหาบ” ทั้งหลายเชื่อได้ พรรณิการ์ วานิช มีปัญหาในการเลือกใช้คำพูด พูดอะไร ก็มักจะเป็นเรื่อง ตลอดจนข้อความหมิ่นเหม่ในเฟซบุ๊ค และการบริจาคเงินเข้าพรรค
แต่คนอื่นๆ ในพรรค โดยเฉพาะ ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กับศิริกัญญา ตันสกุล เดินการเมืองไปอีกแนว คือ “เอาตัวปัญหา” ที่เป็นปัญหาของประชาชนมาตีแผ่ ยกตัวอย่างเช่น
1 ธันวาคม 2562 ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โพสต์เฟซบุ๊คเรื่องปัญหาที่ดินของชาวบ้านว่า...
...“82,921” นี้คือตัวเลขจำนวนคดีข้อพิพาทระหว่างรัฐกับชาวบ้านในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา หัวใจผมหนักอึ้งทุกครั้งที่มีชาวบ้านมาร้องเรียนเกี่ยวกับความเดือดร้อนซึ่ง กมธ. เรารับเรื่องเป็นร้อยๆ คดีในเวลาอันสั้น
...ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสได้พบท่าน รมว. ปลัด อธิบดี รองอธิบดีผมในฐานะประธานกรรมาธิการ กรมที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็พยายามปรึกษาหารือ ขอร้อง แทนชาวบ้านให้เขามีโอกาสครั้งที่ 2 บ้าง การที่รัฐฟ้องประชาชนในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ไม่น่าจะเป็นผลดีกับใคร การแก้ปัญหาอาจจะพึ่งหลักนิติศาสตร์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องพึ่งรัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ประวัติศาสตร์ด้วย
...2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องร้องเรียนจากประชาชน และได้เชิญท่านอธิบดีกรมป่าไม้ รองอธิบดีกรมป่าไม้ และท่านรองเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.)
...ผมมีความเห็นว่าการใช้หลักนิติศาสตร์อย่างเดียวในการฟ้องอาญา และฟ้องแพ่ง (คดีโลกร้อน) ทำให้ชาวบ้านประสบชะตากรรมที่ยากลำบาก เช่น กรณีชาวบ้านจังหวัดเพชรบูรณ์ซึ่งเพิ่งมาร้องเรียนกับ กมธ. เนื่องจากถูกบังคับคดีจากค่าเสียหายในคดีโลกร้อนซึ่งไม่สามารถหาทรัพย์สินมาชำระได้ จนโดนบังคับขายที่ดินมรดกเพียง 50 ตารางวาเพื่อชดใช้ค่าเสีหาย หรืออีกกรณีของนางน่อเฮหมุ่ย เวียงวิชชา ชาวบ้านชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ซึ่งถูกข้อหาครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ 13 ไร่ ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 2 ปียอมรับสารภาพเหลือโทษจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา และถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกว่า 1,963,500 บาท
...ที่ผ่านมามีชาวบ้านโดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่ไม่มีทางสู้คดีกับรัฐต้อง ติดคุก ติดตาราง เสียเวลา และเสียค่าทนายความ ผมจึงได้เรียนถามท่านข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ว่าจะมีวิธีใดบ้างที่กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะดำเนินการชะลอคดี ถอนฟ้องหรือบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ต้องหาที่มีความยากไร้ได้บ้าง
...โดยในกรณีประเภทนี้ผมเห็นว่าเราควรพยายามใช้นโยบายนำใช้หลักรัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ประวัติศาสตร์มาแก้ปัญหาในพื้นที่ป่าทับที่ เน้นสิทธิชุมชน การกระจายอำนาจ การดูแลพื้นที่ร่วมกัน (the commons) มีเทศบัญญัติ ธรรมนูญชุมชน โดยคิดขึ้นมาจากล่างขึ้นบน ไม่ใช่บนลงล่าง ซึ่งจะพอดีและเหมาะสมต่อวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อมในแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้รัฐจะมีหน้าที่เพียงวางแนวทาง กำกับดูแล ซึ่งทำเช่นนี้จะดีกว่าที่เราคิดกันในห้องสี่เหลี่ยมที่กรุงเทพฯ แล้วให้หน่วยงานปฏิบัติเพื่อบังคับให้ชาวบ้านทำตาม
...ผมเห็นว่าในขณะที่ชาวบ้านถูกดำเนินคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ หรือใช้ที่ ส.ป.ก. ผิดวัตถุประสงค์ ถูกดำเนินคดีจากรัฐเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็มีนายทุน นักการเมืองจำนวนหนึ่งที่มีมูลเหตุคดีคล้ายๆ กัน แต่กลับไม่ถูกปฏิบัติโดยมาตรฐานเดียวกับชาวบ้านและผู้ยากไร้ ดังที่เราเห็นกันกับเหตุการณ์ซึ่งเป็นที่สนใจของสังคมอยู่ ณ ขณะนี้
...นอกจากนี้ผมและท่านดำรงค์ พิเดช ในฐานะ กมธ. ยังได้มีโอกาสสอบถามถึงแผนการกับความคืบหน้าจากท่านอธิบดีกรมป่าไม้ และขอมติติดตามเอกสาร รังวัด แผนที่ ของปัญหานายทุนรุกป่าจากกรมป่าไม้เพิ่มเติมเพื่อพิจารณาสอบสวนการทำงานของกรมป่าไม้และสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ต่อไปด้วย
...สุดท้ายนี้ผมขอให้ปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าหรือทรัพยากรธรรมชาติใดก็ตามนั้น ไม่ใช่แค่กวดขันเอากับชาวบ้านที่ยากไร้และไร้อำนาจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องกระทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกันไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร ดังนั้นถ้านายทุน หรือนักการเมืองได้โอกาสทำรังวัดที่ดินใหม่ได้ก็ขอให้ชาวบ้านได้โอกาสนี้ด้วย หรือถ้าท่านจะอะลุ่มอล่วยให้นายทุนหรือผู้มีอำนาจไม่ต้องรับโทษทั้งทางแพ่งและทางอาญา ก็ขอให้ท่านนิรโทษกรรมชาวบ้านที่ติดคุก หรือชะลอฟ้องคน ที่อยู่ในชั้นศาล และจำหน่ายคดีออกจากระบบ ระงับการส่งฟ้องอัยการ เพื่อ Set Zero กันใหม่เช่นกัน จากนี้หากท่านจะดำเนินการสร้างมาตรฐานอันใดไว้ ก็ขอให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันกับชาวบ้านที่ถูกฟ้องถึง 82,921 คดี หรือจะนำสถานการณ์ที่เกิดขึ้นพลิกเป็นโอกาสให้ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรังวัดที่ดิน เรื่องการอ่านแปลแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ ผมขอฝากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจดำเนินการให้รอบคอบ ซึ่งหากจะดำเนินการก็ขอให้ใช้ระยะเวลาและระเบียบเดียวกันทั้งกับคนรวยและคนจน
...นอกจากนี้เรื่องการสำรวจผู้อยู่อาศัยและทำกินในเขตป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ ในกรอบระยะเวลา 240 วันหลังการประกาศใช้กฎหมายใหม่ที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ 3 ฉบับ จะมีการสำรวจอย่างไร การดำเนินการเป็นอย่างไร มีรายละเอียดอย่างไร ผมในฐานะประธานกรรมาธิการ จะติดตามเรื่องนี้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดครับ
...ขอโอกาสครั้งที่ 2 ให้ชาวบ้านบ้างครับ”
นี่คือแนวทางสร้างสรรค์ ที่สังคมหวังจะเห็นจากพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ ที่ประกาศจะทำงานการเมืองแบบใหม่ๆ แต่มันไม่เกิดใน 3 แกนนำหลักของพรรค
ในสภาพใกล้ “จนตรอก” ธนาธร ปิยบุตร และช่อ ออกโรงขายภาพ“พรรคถูกรังแก-ถูกกำจัด” เพราะพรรคลุกขึ้นต่อสู้กับผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะกรณี กกต. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่
จู่ๆ ก็เกิดการนัดหมายแสดงพลังแบบ “แฟลชม็อบ” ขึ้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ธนาธร ได้ไปพูดบนเวทีของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ว่า พวกเขาไม่ได้เป็นคนอยู่เบื้องหลังงานวิ่งในวันที่ 12 มกราคมที่กำลังจะเกิดขึ้นแต่มันเกิดจากความโกรธของผู้คน พวกเขาเหล่านี้เริ่มต้นรวมตัวกันทางออนไลน์ เราคงต้องลองมาดูกันว่าจะมีคนออกมารวมตัวกันในอีเว้นท์นี้มากแค่ไหน
“มีคนมากมายถามผมทั้งทางออนไลน์และตอนลงพื้นที่ ว่าเมื่อไหร่จะลงถนน เขาพูดกันว่าร่างกายต้องการปะทะแก๊สน้ำตา ผมบอกพวกเขาว่าให้ใจเย็นๆ เรายังไม่หมดหนทาง ขอให้พวกเราพรรคอนาคตใหม่ พยายามในวิถีรัฐสภาจนถึงที่สุดก่อน” ธนาธรกล่าว
นั่นแปลว่า “จนตรอก” ถึงที่สุดแล้วหรือ
เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 62 นายชาญวิทย์ วงศ์สว่าง หรือ “ดร.โจ” อดีตผู้สมัครสส.เขต 1 ชุมพร พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ได้ออกมาโพสต์ข้อความเตือนนายธนาธร ว่า “หยุดเถิด ธนาธร อย่าลงถนน..” โดยเขาบอกว่า...
...ความผิดพลาด เกิดจาก ปิยบุตร นักกฎหมาย ผู้ไม่เคยออกนอกห้องบรรยาย สู่โลกความจริงแห่งการนำกฎหมายไปใช้ ปลดทิ้งเสีย ทุกอย่างจะคลี่คลาย ห้ามให้เข้ามายุ่งการเมืองอีก ลองลงมติอย่างกว้างขวางดู แล้วคุณจะเห็นว่า จริงอย่างที่ผมบอกหรือไม่ ผมไม่อยากนำเรื่องแบบนี้ มาชี้แนะภายนอก แต่เมื่อถูกปิดกั้้น ต้องพูดกันแล้ว โดยเฉพาะการดัน คุณธนาธร ลงถนน
...เลขาฯ อะไรของคุณ ให้หัวหน้าพรรคพ้น สส. จากเรื่องเร่งรีบถอนหุ้นสื่อไม่ทัน เลขาฯที่ไม่รู้เรื่องการเงิน การบัญชี แต่ไปยุ่งจนจะต้องติดคุก ยุบพรรคกันยกทีม เรื่องแค่นี้ บริษัททำบัญชีเยอะแยะเขาทำได้ แต่เลขาฯทำจากเรื่องธรรมดา จนต้องติดคุก ไม่ใช่ต่อต้านทหาร แล้วติดคุก คุณธนาธร ครับ
...ใครเขาก็วิจารณ์ นักวิชาการ องค์กรเอกชน งานสัมมนาต่างๆ เขาวิจารณ์กันทั้งนั้น มันเป็นเรื่องแนวคิดทฤษฎีในการนำเสนอทั่วไป ไม่มีข้อหาวิจารณ์กองทัพแล้วยุบพรรค คุณโดนเรื่องงานเอกสาร ที่เลขาฯไม่ทำให้เรียบร้อย เท่านั้นเอง
...คนนี้ไง ที่ “นิสัยผู้หญิง” เหมาะหรือทำงานกับคนหมู่มาก เมื่อนิสัยหยุมหยิมโกรธคนง่าย และไม่คิดสุงสิง ติดต่อใคร จะเอาคนแบบนี้มาทำงานใหญ่ สร้างพรรคการเมืองหรือครับ
...ย้อนไปดูความนิยมก่อนหน้าสักหน่อยนะครับ ตั้งแต่งาน “อยู่ไม่เป็น” ทั้งระดม ว่าจ้างและขนคน มาจากหลายจังหวัด แม้คนที่ลาออกไปแล้ว ยังรู้ว่าเกณฑ์คน ในที่สุดหาไม่ได้ ตามที่อยากโชว์คนรุ่นใหม่เต็มหน้าเวที จึงจำต้องเอาผู้อาวุโส ขึ้นนั่งแถวหน้าออกทีวีแทน
...ตามมาด้วย งานภาคตะวันออก ชลบุรี ระยอง ยาวไปอีสานบางจังหวัด ไม่มีแนวร่วมกระทั่งงานล่ม จัดสัมมนาไม่ได้ ล่าสุดนนทบุรี ไปปลุกระดมให้สมาชิกแค่ไม่กี่คน เกลียดชังทหารให้ลงถนนช่วยธนาธร เชื่อผมเถอะครับ มวลชนพรรค ไม่มีจริง ตรวจสอบดูที่สาขาไหนก็ได้ งานเลี้ยงฉลองสาขากี่จังหวัดแล้วที่จัดไม่ได้ เพราะข้างในเสื่อม ไม่มีแนวร่วมมา แม้กินฟรี คนยังไม่ไปเลย ธนาธรตรวจสอบดูได้ครับ แล้วหยุดลงถนนเถิดครับ
...กลับไปเริ่มต้นใหม่ ด้วยการปลดปิยบุตรและพวกเขาออกด่วน เพื่อล้มล้างระบบเผด็จการ ที่ปิยบุตรสร้างไว้ให้หมด ปัญหาข้างในเน่า ลงถนนข้างในก็เน่าเหมือนเดิม และสังคมเขาไม่เอาครับ อย่าทำ
13 ธันวาคม 2562 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โพสต์เฟซบุ๊คอธิบายคดียุบพรรคอนาคตใหม่เรื่อง “ห้ามเดินลัดสนาม!!!” ใจความว่า
“ประเทศไทยเราใช้ระบบกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษร ภาษาอังกฤษเรียกว่า ระบบ Civil law หมายความว่า กฎหมายต่างๆจะต้องมีการบัญญัติไว้เป็นตัวหนังสือที่เรียกว่าพระราชบัญญัติหรือประมวลกฎหมาย ข้อเสียของระบบกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษรคือการที่ไม่มีทางที่จะเขียนกฎหมายให้ครอบคลุมได้ครบหมดทุกเรื่องวิธีแก้ไขปัญหานี้ ก็คือต้องตีความกฎหมายตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นหลักสำคัญ
เรื่องการกู้เงินของพรรคการเมืองนั้น วัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.)ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ ต้องการป้องกันมิให้ “นายทุน” หรือบุคคลใดมามีอำนาจหรือมีอิทธิพลเหนือพรรคการเมืองโดยการ “ให้ทุน” ดังนั้น การ “ให้ทุน” แก่พรรคการเมืองในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่อาจจะทำให้ “ผู้ให้ทุน” มีอำนาจหรือมีอิทธิพลเหนือพรรคการเมืองจึงกระทำมิได้ เว้นแต่เป็นไปตามที่ พ.ร.ป. พรรคการเมือง พ.ศ. 2560 กำหนดไว้ในมาตรา 66 ว่าต้องเป็น “เงินบริจาค” หรือ “ประโยชน์อื่นใด” ที่มีจำนวนเงินหรือมีมูลค่าไม่เกินสิบล้านบาทต่อปีต่อรายเท่านั้น
แม้พรรคการเมืองจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลก็ตาม แต่ก็ต่างจากการเป็นนิติบุคคลของบริษัทจำกัดทั่วไป เพราะพรรคการเมืองมิใช่องค์กรธุรกิจและมิได้มีเจตนารมณ์ที่จะแสวงหากำไรจากการดำเนินการของพรรคการเมือง และพรรคการเมืองไม่มีผู้ถือหุ้นที่มาร่วมกันลงทุนเพื่อแสวงหาผลกำไรจากการดำเนินการของพรรคการเมือง จึงไม่มีเหตุผลและไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่พรรคการเมืองจะต้องกู้ยืมเงินจำนวนมากๆ มาใช้ในกิจกรรมหรือในการดำเนินงานของพรรคการเมืองเช่นเดียวกับนิติบุคคลที่เป็นบริษัทจำกัด
หากพรรคการเมืองต้องการหา “ทุน” เพื่อใช้ในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองแล้ว พ.ร.ป. พรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 66 ก็กำหนดให้กระทำได้โดยการ “รับบริจาค” หรือโดยการ “ระดมทุน”ที่ไม่เกินสิบล้านบาทต่อปีต่อราย ซึ่ง “ทุน” ที่ได้มาจากการบริจาคหรือจากการระดมทุนนี้จะเป็นสิทธิ์ขาดของพรรคการเมืองที่จะนำไปใช้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้โดยอิสระ มิใช่เพื่อนำไปลงทุนทางธุรกิจเหมือนนิติบุคคลที่เป็นบริษัทจำกัด และ “ทุน” ที่ได้รับมานั้นก็มิใช่ “หนี้” ที่พรรคการเมืองจะต้องหา “เงิน” มาใช้หนี้คืนอย่างเช่นการ “กู้เงิน” ของนิติบุคคลที่เป็นบริษัทจำกัด ที่สำคัญคือ หากให้พรรคการเมือง “กู้เงิน” ได้ ก็จะเป็นการเปิดช่องให้ “นายทุน” เข้ามามีอำนาจหรือมีอิทธิพลเหนือพรรคการเมืองได้ง่ายๆ ด้วยการหลบเลี่ยงสถานะและคำเรียกขานจากคำว่า “ผู้บริจาค” หรือ “ผู้ให้ประโยชน์” มาเป็น “ผู้ให้กู้” ได้โดยไม่ต้องจำกัดจำนวนเงิน และยังจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการทุจริตคอร์รัปชั่นเพื่อหา “เงิน” มาชำระ “หนี้เงินกู้” ได้อีกด้วย เช่นนี้แล้ว จะใช่วัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของ พ.ร.ป. พรรคการเมือง พ.ศ. 2560 หรือไม่
ดังนั้น แม้ไม่มีบทบัญญัติใดของ พ.ร.ป. พรรคการเมือง พ.ศ. 2560 เขียนเรื่องการกู้เงินของพรรคการเมืองไว้ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาจากวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของ พ.ร.ป. พรรคการเมือง พ.ศ. 2560 แล้ว การ “ให้เงิน” แก่พรรคการเมืองไม่ว่าในรูปแบบของ “การให้กู้เงิน” หรือในรูปแบบอื่นใด ก็จะต้องถือว่าเป็นการให้ “เงินบริจาค” หรือ “ประโยชน์อื่นใด” แล้วแต่ข้อเท็จจริงเป็นกรณีๆ ไป และหากมีจำนวนเงินหรือมีมูลค่าเกินสิบล้านบาทต่อปีต่อรายแล้ว ก็ต้องถือว่าเป็น “เงินบริจาค” หรือเป็น “ประโยชน์อื่นใด” ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 66 แห่ง พ.ร.ป. พรรคการเมือง พ.ศ. 2560ซึ่งหากพรรคการเมืองรับเงินหรือประโยชน์เช่นว่านั้น ไม่ว่าจะเรียกว่า “เงินกู้” หรือเรียกว่าอะไรก็ตาม ก็ต้องถือว่าพรรคการเมืองนั้นรับ “เงินบริจาค” หรือ “ประโยชน์อื่นใด” แล้วแต่กรณี โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นความผิดตามมาตรา 72แห่ง พ.ร.ป. พรรคการเมือง พ.ศ. 2560
ตอนที่ผมเรียนกฎหมายอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์สอนวิธีง่ายๆ ในการตีความกฎหมายลายลักษณ์อักษรตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ว่า เวลาที่เราเห็นป้ายปักอยู่ตามขอบสนามหญ้าที่เขียนเพียงว่า “ห้ามเดินลัดสนาม” เราจะ “วิ่งลัดสนาม” ได้หรือไม่ ก็ลองพิจารณากันดูนะครับ
อย่างไรก็แล้วแต่ การตีความกฎหมายก็เป็นเรื่องสองคนยลตามช่อง ทุกคนก็เชื่อในความคิดของตนเอง สุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ชี้ขาดครับ”
ชัดเจนเสียขนาดนี้ ไม่รู้ว่าลูกหาบของ 3 แกนนำจะพยายาม “เข้าใจ” หรือไม่!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี