ประเทศไทยเราก็คงไม่แตกต่างไปจากอีกหลายๆ ประเทศ ที่ได้ทดลองกับระบอบการเมืองที่ใช้ระบบพรรคการเมืองหลายๆ พรรคสมัครเข้าแข่งขันผ่านกระบวนการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐในการบริหารจัดการประเทศ ซึ่งก็ดูล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด
ข้ออ้างของความล้มเหลวดังกล่าว ก็มักถูกโอนไปที่ประชาชนพลเมือง โดยอ้างว่า ประชาชนยังไม่มีความพร้อมทั้งจิตใจ ทักษะ และองค์ความรู้ ซึ่งจากที่สัมผัสกับภาคประชาชนมาโดยตลอด ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยนัก
ผมเองนั้นเห็นว่า ตัวร้ายตัวจริงของการเมืองไทยก็คือ พวกนักการเมือง พวกข้าราชการ และพวกทหาร ต่างหาก เพราะคนเหล่านี้มักอยู่ในจำพวกอำนาจนิยม และมุ่งใช้อำนาจเพื่อตนเอง โดยมิได้ใช้เพื่อรับใช้สังคมและประชาชนพลเมือง
ในขณะเดียวกันในประเทศที่มีระบบพรรคเดียว หรือจะพวกเดียวหรือกลุ่มเดียวใดก็ตาม ซึ่งก็แน่นอนว่า พรรคเดียวพวกเดียวเท่านั้นที่เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ย่อมต้องเอาพวกตัวพรรคตัวไว้ก่อนส่งผลให้ต้องกดขี่ประชาชนพลเมืองเป็นธรรมดา โดยมีพรรคคอยสั่งการ กำกับการ ตรวจการ และควบคุมทุกประการ ประชาชนพลเมืองจึงตกอยู่ใต้อาณัติชนิดหือใดๆ มิได้
ระบบดังกล่าว เรียกว่า ระบบปิด แบบพรรคเดียว หรือผู้นำคนเดียวหรือกลุ่มเดียว ประชาชนพลเมืองถูกกดขี่ รับคำสั่งอย่างเดียวเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน ระบบเปิดที่มีพรรคต่างๆ คอยแข่งขันกัน กลับนำสังคมไปสู่การกระจุกตัวของอำนาจรัฐ และการมีอิทธิพลครอบงำของกลุ่มทุนนิยมสามานย์ ผู้คนก็ถูกทอดทิ้ง กลายเป็นแค่ตัวเลขเสียงสนับสนุน ไว้กล่าวอ้างยามออกนโยบายต่างๆ
ดังนั้น ระบบเปิดแบบอำนาจกระจุกตัว กับระบบปิดแบบอำนาจเบ็ดเสร็จ นั้นก็ไม่ได้แตกต่างกัน เพราะมีแต่การกดขี่ ผู้รับเคราะห์กรรมคือปวงชนทั้งหลาย
แล้วจะแก้ไขกันได้อย่างไร?
ในระบบปิดนั้น ไม่มีทางอื่นใด นอกจากรอให้ประชาชนพลเมืองทนไม่ไหว จนต้องลุกขึ้น ลุกฮือต่อต้านอำนาจเผด็จการกันอย่างกว้างขวางเท่านั้น
ส่วนในระบบเปิดนั้นดีกว่าหน่อย ตรงที่ยังพอจะพูดจากันได้ เพราะสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกยังพอมี “ลมหายใจ” อยู่
เมื่อมองที่สาเหตุ ก็จะพบว่า ที่ระบบเปิดนำไปสู่การกระจุกตัวของอำนาจรัฐและอิทธิพลของกลุ่มทุนนิยมสามานย์นั้นก็เพราะ
1.อำนาจทั้งปวงไปตกอยู่ที่ตรงรัฐสภาแห่งเดียว
2.การตั้งพรรคและนโยบายพรรคต้องใช้เงิน ผู้มีเงินมากย่อมได้เปรียบอย่างแน่นอน
3.หลายๆ พรรค มีการสืบทอดอำนาจนิยม จากรุ่นปู่สู่รุ่นหลาน เหลน เพราะความได้เปรียบทางชื่อเสียง อิทธิพลเครือข่าย
4.แล้วยังมีกฎเกณฑ์ที่จำกัดจำเขี่ย เช่น ให้ผู้สมัครต้องมีปฏิญญา ต้องสังกัดพรรค ต้องลงแข่งขันในพื้นที่ถิ่นกำเนิดต่างๆ ก็เท่ากับเป็นการจำกัดจำนวนผู้ที่จะเข้าสู่สนามการเมืองโดยปริยาย และสร้างความได้เปรียบให้กับกลุ่มคนที่มีความได้เปรียบมีฐานันดรในสังคมอยู่แล้วขึ้นไปอีก
5.และเมื่อมีรัฐสภาเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไปกระจุกตัวอยู่ที่นั้น แถมเมื่อมีปัญหาขัดแย้ง ว่าด้วยตัวบุคคล ว่าด้วยตัวพรรค เวลาอันมีค่าก็จะหมดไปกับเรื่อง “ส่วนตัว” เรื่อง “ไร้สาระ”
เรื่องบ้านเมืองก็ถูกยืดออกไป หรือถูกลืมเลือนไปเสียเลย
ผมเอง ไม่เชื่อถือระบบรัฐสภาที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เพราะข้อเห็นต่างในต้นทางคือ ตัวกฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายลูกต่างๆ ที่เกี่ยวกับพรรคและการเลือกตั้งนั้นไม่ได้มีเจตนาแห่งประชาธิปไตย และมีลักษณะที่เอื้อต่อกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะในการกุมอำนาจอย่างชัดเจน และผมยังเห็นอีกว่า รัฐสภาในวันนี้ เป็นเพียงที่เล่นการเมือง มากกว่าจะเป็นสถานที่ ที่นักการเมืองเข้ามาเพื่อทำงานการเมือง เพื่อสังคมและผู้คน
ผมก็ได้นั่งคิด นอนคิด ยืนคิดไตร่ตรองมาระยะหนึ่ง ก็ขอเสนอเพื่อให้ช่วยกันคิดและหาข้อยุติร่วมกันเพื่อหาทางออกจากระบบรัฐสภาเดียวติดสันดอนการเมือง ดังนี้
1.ผมขอเสนอให้มีสภา (หรือรัฐสภา) 3 สภาคือ
1.1 สภาผู้แทนฯ เพื่อทำหน้าที่ในเรื่องกฎหมายและการพัฒนาระบบราชการ และเครื่องมือกลไกรัฐต่างๆ
1.2 สภาผู้แทนฯ ที่รับผิดชอบเรื่องงบประมาณเท่านี้ คือควบคุมตรวจสอบ ติดตามการใช้จ่ายโดยฝ่ายบริหาร
1.3 สภาแห่งธรรมาภิบาล เพื่อดูแลการมีศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม ในสังคม และความถูกต้องชอบธรรม
ในการเข้าสู่ตำแหน่งในสภาเหล่านี้ หรือการจะมาเป็น “ผู้แทน” ก็จะมาได้หลายทาง เช่น
1.3.1 ผ่าน พรรคผ่าน สภาวิชาชีพผ่าน สถาบันพระมหากษัตริย์ (พระราชทาน)
1.3.2 เป็นผู้สมัครอิสระ ทั้งนี้ไม่มีเงื่อนไข หรือข้อจำกัดว่าด้วยระดับการศึกษา หรือยศ หรือตำแหน่งใดๆ โดยผู้สมัครทั้งหมดก็จะต้องแสดงความรู้ และวิสัยทัศน์ เพื่อให้มีการคัดกรองเบื้องต้น ทั้งโดยวิธี คณะกรรมการคัดกรอง และการลงคะแนนโดยประชาชนที่สนใจและลงทะเบียนไว้ เป็นต้น
ทั้งนี้ อาจมีการจัดตั้งสภา หรือองค์กรกลางเฉพาะกิจที่มีระยะเวลาทำงานที่แน่นอน เช่นในเรื่องน้ำ เรื่องพลังงานทดแทนและหมุนเวียน เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน (ทั้งการสัญจรและสาธารณูปโภค) โดยการทำงานอย่างเป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับคณะรัฐบาล (คณะรัฐมนตรี) แต่ต้องรับผิดชอบต่อสภาด้านงบประมาณ และสภาด้านจริยธรรม เป็นต้น
อนึ่ง การสมัครรับเลือกตั้งผ่านพรรคการเมือง แต่ละพรรคจะเสนอรายชื่อ (List) และจะได้รับที่นั่งตามสัดส่วนของคะแนนเสียงเท่านั้น เท่ากับว่าเป็นรายชื่อระดับชาติ ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง
ก็ใคร่ขอเสนอมาเบื้องต้น เพื่อได้โปรดนำไปคิดต่อยอดกัน เพื่อที่จะได้ใช้เป็นแนวทางในการปฏิรูปประเทศครั้งหน้า ไม่เช่นนั้น ปฏิรูปอีกครั้ง ก็คงต้องเสียเวล่ำเวลาในการศึกษา หาแนวทางแก้ไข ไม่จบไม่สิ้น จนไม่ได้ปฏิรูปอะไรเลยสักอย่าง นอกจากการรวบอำนาจเข้า
ส่วนกลาง โดยมีนัยเพื่อการสืบทอดอำนาจของตนเอง อย่างที่เห็นๆ กันอยู่
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี