ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่าน มิใช่เพิ่งมาเกิดขึ้นจากกรณีสหรัฐอเมริกาลอบสังหาร นายพลกาเซ็มโซไลมานี (Qasem Soleimani) แม่ทัพกองกำลังพิเศษ The Islamic Revolutionary Guard Corps ไปเมื่อวันที่ 3 มกราคม ที่ผ่านมา
ความเป็นไม้เบื่อไม้เมาของทั้งสองฝ่ายมีกันมายาวนานกว่า 60 ปี โดยระหว่างนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่ส่งผลให้ต่างฝ่ายต่างเคืองอกเคืองใจ ทับถมกันมาหลายเรื่องหลายครา โดยเริ่มต้นจากการที่ฝ่ายสหรัฐอเมริกา และอังกฤษได้ร่วมกันล้มล้างรัฐบาลอิหร่านที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ด้วยเหตุว่า โมฮัมหมัด มอสซาเดก(Mohammad Mossadegh) นายกรัฐมนตรีนักต่อสู้ชาตินิยมของอิหร่านมีนโยบายจะเข้ายึดสัมปทานน้ำมันจากบริษัทเอกชนต่างชาติ ให้กลับมาเป็นของรัฐ(Nationalization) ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลประโยชน์ของกิจการเอกชนน้ำมันสัญชาติสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งจะกระทบความมั่นคงทางพลังงาน และอิทธิพลของฝ่ายตะวันตก รวมทั้งขัดกับหลักการว่าด้วยตลาดเสรี (ไม่ยอมรับการยึดธุรกิจเอกชนเป็นของรัฐ)
ต่อมาฝ่ายต่อต้านรัฐบาลพระเจ้าซาร์ ยอดพันธมิตรของฝ่ายสหรัฐอเมริกาทั้งฝั่งซ้าย-ขวา ประสบความสำเร็จในการล้มล้าง โดยในที่สุดฝ่ายกลุ่มศาสนา (เทวนิยม)กุมอำนาจหมด (พระเจ้าซาร์ต้องออกไปลี้ภัยในต่างประเทศจนสิ้นชีวิต) อิหร่านเปลี่ยนรูปโฉมเป็นรัฐศาสนาซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อฝ่ายตะวันตกอย่างชัดเจน
เหตุการณ์ได้บานปลาย นำไปสู่การที่กลุ่มชาวอิหร่านหัวรุนแรงบุกเข้ายึดสถานทูตสหรัฐอเมริกา และจับนักการทูตชาวสหรัฐฯ เป็นเชลยอยู่ 400 กว่าวัน
จากนั้นสหรัฐอเมริกายิงเครื่องบินโดยสารอิหร่านตกผู้โดยสารเสียชีวิตทั้งลำ โดยอ้างว่าเป็นความผิดพลาด อันเนื่องมาจากสหรัฐฯ คิดว่าเป็นเครื่องบินรบ
รัฐบาลอิหร่าน ดำเนินการส่งออกอุดมการณ์รัฐเทวนิยมสายมุสลิมชีอะห์ โดยแทรกแซงประเทศมุสลิมต่างๆในตะวันออกกลาง (ที่นำโดยมุสลิมสายอื่น โดยเฉพาะฝ่ายสุหนี่) ฝ่ายอิหร่านต่อต้านตะวันตกอย่างโจ่งแจ้ง จนถูกจัดเป็นประเทศผู้ดำเนินการ และสนับสนุนการขับเคลื่อนการก่อการร้ายสากล ส่งผลให้อิหร่านถูกคว่ำบาตรทางการค้าจากสหประชาชาติ และโดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา ทำให้การส่งออกน้ำมัน สินค้าสำคัญของอิหร่านถูกจำกัดจนเศรษฐกิจของอิหร่านไม่สามารถเติบโตได้ กระทบต่อคุณภาพชีวิตประจำวันของผู้คน
อิหร่านถูก ประธานาธิบดีจอร์จ บุช ของสหรัฐอเมริกาตราหน้าว่าเป็นหนึ่งในสามของแกนแห่งความชั่วร้าย (Axis of Evil) ร่วมกับเกาหลีเหนือและอิรัก ภายใต้ซัดดัม ฮุสเซน
ฝ่ายอิหร่านแอบพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ โดยไม่สนใจคำท้วงติงจากนานาชาติ เป็นต้น
เหตุการณ์ดูเหมือนจะดีขึ้นเมื่อ สหรัฐอเมริกา จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหภาพอังกฤษ และเยอรมนีฝ่ายหนึ่ง ได้ร่วมกับฝ่ายอิหร่านอีกฝ่ายหนึ่ง ทำข้อตกลงนิวเคลียร์ คือข้อตกลงร่วมว่าด้วยแผนปฏิบัติการครอบคลุม (The Joint Comprehensive Plan of Action : JCPOA) โดยระบุว่า
จำกัดการพัฒนาแร่ยูเรเนียมเพื่อแลกกับการลดการคว่ำบาตรทางการค้า
และไม่กี่ปีผ่านมา จากปี ค.ศ. 2014 ความขัดแย้งก็ประทุขึ้นอีกรอบเมื่อสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ถอนตัวแต่ฝ่ายเดียวออกจากข้อตกลงดังกล่าว ในกรณีนี้ อิหร่านมองว่าสหรัฐฯ “เบี้ยว” ไม่ทำตามสัญญา ยังคงมุ่งหน้าบ่อนทำลายอิหร่านด้วยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และแทรกแซงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและเนื้อหาทางการเมือง (ล้มรัฐเทวาธิปไตย) โดยระหว่างนั้น ก็มีการดำเนินการยึดเรือบรรทุกน้ำมันกันไปมา รวมทั้งมีการปะทะกันอย่างประปรายในอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งเป็นการยั่วยุ ยั่วโทสะ กันไปมา
จากลำดับเหตุการณ์ที่กล่าวมา ปัญหาที่สำคัญยิ่งที่สุดระหว่างสหรัฐอเมริกา กับอิหร่านนั้นคือ
1) ความแตกต่างกันว่าด้วยเรื่องอุดมการณ์ระหว่างเสรีประชาธิปไตย กับเทวาธิปไตย
2) จากมุมมองของสหรัฐอเมริกา อิหร่านเป็นประเทศผู้ก่อการร้าย เป็นผู้ดำเนินการสู้รบ และสนับสนุนฝ่ายขบวนการสุดโต่ง สหรัฐอเมริกา และอิหร่าน ถือหางฝ่ายตรงกันข้ามกันในซีเรีย เยเมน อิรัก เลบานอน เป็นต้น ในขณะที่อิหร่านก็มองว่าสหรัฐฯ เป็นหัวหอกของการล่าอาณานิคมสมัยใหม่ โดยมุ่งครอบงำอิหร่าน และประเทศมุสลิมในตะวันออกกลาง เพื่อผลประโยชน์ทางด้านทรัพยากรน้ำมัน ซึ่งเท่ากับว่าสหรัฐฯ นั้นเป็นประเทศที่คุกคามและรุกรานต่อชาติตะวันออกกลาง
3) อิหร่านมุ่งทำลายอิสราเอลให้หมดสิ้นแผ่นดิน เพราะมองว่า อิสราเอลคือเครื่องมือสร้างความปั่นป่วนให้กับชาติมุสลิมตะวันออกกลาง ที่ฝ่ายตะวันตกส่งมายึดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมไป ในขณะที่สหรัฐก็ถือว่า อิสราเอลเป็นพันธมิตรสำคัญยิ่ง และเป็น “หัวหอก” ของสหรัฐอเมริกาในตะวันออกกลาง
4) อิหร่านและซาอุดีอาระเบีย ต่างชิงดีชิงเด่นกันเป็นใหญ่ในชาติมุสลิม เพราะต่างเป็นผู้นำนิกายศาสนาที่เป็นอริกันอยู่ กล่าวคือ อิหร่านเป็นที่หนึ่งของฝ่ายชีอะห์ ขณะที่ซาอุดีอาระเบียเป็นเบอร์หนึ่งของฝ่ายสุหนี่ โดยสหรัฐฯ ได้เข้าไปมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซาอุดีอาระเบียอย่างออกนอกหน้า เพื่อจำกัดอิทธิพลของอิหร่านต่อชาติมุสลิมตะวันออกกลาง
ประเด็นก็คือ แล้วจำเป็นหรือไม่ ที่สหรัฐอเมริกาและอิหร่าน จะต้องเป็นคู่อริกันโดยตรงไปเรื่อยๆ เช่นนี้?
ก็เริ่มมาคิดอ่านกันในแวดวงคอการเมืองทั้งหลายว่า สหรัฐอเมริกาหากจะดำรงตนในฐานะตำรวจโลกอย่างที่คาดหวัง สหรัฐฯ ก็ควรจะทำตัวให้สมกับเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ซึ่งมีสถานะผู้ไกล่เกลี่ย ผู้เสริมสร้างสันติภาพ ความมั่นคง และความมั่งมี โดยปริยาย มากกว่าจะไปแสดงตนเป็นคู่กรณีกับผู้ใดๆ เสียเอง ซึ่งสหรัฐฯ อยู่ในฐานะจะกระทำได้ แต่ต้องตัดสินใจยอมถอย ยอมเสียหน้ากันบ้างเมื่อเทียบกับการดำเนินการในอดีตที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกาที่แสดงบทบาทเป็นผู้ปกป้อง ผู้คุ้มครอง ผู้ประกันความมั่นคงปลอดภัยของอิสราเอล ซาอุดีอาระเบีย บาห์เรน กาตาร์ คูเวต จอร์แดน อียิปต์ โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็ควรได้ถอยออกมา และเริ่มดำเนินการสนับสนุนให้ประเทศเหล่านี้ได้ “ออกหน้า” มาช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด แทนที่จะเอาแต่เกาะชายกระโปรงสหรัฐฯ หรือแอบซ่อนอยู่ข้างหลังสหรัฐฯ ดังที่เป็นมาโดยตลอด กล่าวคือ ประเทศเหล่านี้ต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังและเข้มแข็งในการดำเนินความสัมพันธ์กับอิหร่าน ในประเด็นปัญหาต่างๆ ทางแนวคิดทางการเมืองและศาสนาของตน โดยมีฝ่ายสหรัฐฯ ทำตัวเป็นท้าวมาลีวราชเท่านั้น
ในทางคู่ขนานกันไป ฝ่ายองค์การสหประชาชาติก็ต้องเข้ามามีบทบาทในความวุ่นวายขัดแย้งครั้งนี้ เช่น จัดเวทีกลางเพื่อการเจรจา จัดกองกำลังสันติภาพเพื่อควบคุมการสู้รบ เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน ผู้นำอิหร่านก็ต้องเลิกคิดการส่งออกระบบการเมืองแบบเทวาธิปไตย และการส่งออกการก่อการร้ายสากล และเอาทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี