นายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงบรรยากาศการอภิปรายไม่ไว้วางใจในรอบ 1 วันแรกว่า บรรยากาศโดยรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ฝ่ายค้านมีข้อมูลที่ดี แต่ขาดการนำเสนอที่น่าสนใจ เช่น กรณีนายยุทธพงศ์จรัสเสถียร มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือ แต่การใช้เวลาอภิปรายยาวนานถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง ทำให้คนฟังเกิดอาการเบื่อได้ ส่วนการอภิปรายของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ใช้รูปแบบการอภิปรายในลักษณะการอภิปรายนโยบายของรัฐบาลมากกว่าการอภิปรายในญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทำให้ฟังดูราบเรียบ ไม่เร้าใจให้ชวนติดตาม
ส่วนฝ่ายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควบคุมอารมณ์ได้ดี แต่ตอบคำถามค่อนข้างสั้น ส่วนใหญ่จะมอบหมายให้รัฐมนตรีคนอื่นๆตอบคำถามแทน ถ้าพิจารณาตามญัตติเป็นการอภิปรายรายบุคคลผู้ที่จะตอบคำถามน่าจะเป็นตัวรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเท่านั้น ส่วนรัฐมนตรีคนอื่นๆ ถ้าจะใช้สิทธิ์อภิปราย ก็สามารถทำได้แค่การขอใช้สิทธิ์พาดพิงที่ทำให้เกิดความเสียหาย
“สำหรับการทำหน้าที่องครักษ์ของฝ่ายรัฐบาล เป็นการประท้วงในลักษณะพร่ำเพรื่อ หยุมหยิมเกินไป ทำให้เสียเวลาของสภาโดยใช่เหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเสียเวลากับการประท้วง เรื่องที่มีการเรียกชื่อคุณประยุทธ์ หรือจะให้ใช้เรียกว่า พลเอกประยุทธ์ นั้น ที่ประชุมถกเถียงกันเป็นเวลานาน ทั้งๆ ที่ประธานชวนได้วินิจฉัยเป็นข้อยุติไปแล้วหลายครั้ง” นายเทพไท กล่าว
นายเทพไท กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุม สส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ให้ทำหน้าที่ดูแลข้อบังคับระหว่างมีการประชุมสภานั้น ก็ไม่ได้ทำหน้าที่ดังกล่าวเลยด้วยเหตุผล 2.ประการ คือ
1.ประธานสภาผู้แทนราษฎร คือ นายชวน หลีกภัยได้ทำหน้าที่ควบคุมการประชุมได้ดีมาก ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และวินิจฉัยคำประท้วงได้ถูกต้อง เป็นกลางที่สุด
2.การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มานั่งอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรด้วย จะมีผู้อยากทำหน้าที่เป็นองครักษ์คอยประท้วงในทุกประเด็นที่ล่อแหลมต่อการกระทำผิดข้อบังคับเพื่อต้องการโชว์ฟอร์มให้ผู้ใหญ่ทั้ง 2 ท่านได้เห็นผลงาน จึงเกิดภาพการแข่งขันกันประท้วง หรือเรียงหน้ากันประท้วงในทุกประเด็น ตนจึงไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่ในการพิทักษ์ข้อบังคับแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ถ้าพิจารณาดูน้ำหนักข้อมูลของฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลในเวลา 1 วันที่ผ่านมา ยังก้ำกึ่งกันอยู่ ความน่าเชื่อถือของทั้ง 2 ฝ่ายใกล้เคียงกัน คงต้องรอข้อมูลในการอภิปรายอีกใน 2-3 วันที่เหลืออยู่นี้
“ส่วนตัวจะไม่ทำตัวเป็นปัญหาเหมือนที่แกนนำรัฐบาลบางคนวิตกกังวล แต่ยังยืนยันในจุดยืนเดิม คือ ต้องฟังการอภิปรายและการชี้แจงของทั้ง 2 ฝ่ายก่อน ถ้าสามารถตอบคำถาม หรือนำข้อมูลมาหักล้างการอภิปรายของฝ่ายค้านได้หมด ก็พร้อมจะยกมือให้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น แต่หากตอบคำถามไม่เคลียร์ ชี้แจงข้อสงสัยไม่ชัด ก็ไม่สามารถจะยกมือไว้วางใจให้ได้เช่นเดียวกัน” นายเทพไท กล่าว
บางประเด็น ผมเห็นเหมือน “คุณเทพไท”แต่บางประเด็นก็เห็นต่างไป
ประเด็นที่ผมมองเห็นก็คือ
1) การอภิปรายนั้น ยังก้ำกึ่งว่า นี่เป็นการ “อภิปรายทั่วไป” โดยไม่ลงมติ หรือเป็นการ “อภิปรายไม่ไว้วางใจ” กันแน่ เพราะสภาพมันเหมือน จิตแพทย์นั่งฟังคนไข้ ให้ได้ร่ำระบายเรื่องอึดอัดคับข้องใจของตนเองมากกว่าข้อมูลในเชิง “ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล” ที่พบว่า “ไม่น่าไว้วางใจ” มันจึงออกมาในรูปของการ “อภิปรายสิ่งที่ฉันไม่พึงพอใจ” เสียมากกว่า ข้อมูลที่จะทำให้ประชาชนรู้สึกว่า เฮ้ย!! รัฐบาลนี้ ไว้ใจไม่ได้เสียแล้ว
2) ดีที่สุดของภาพสะท้อนที่ออกมา จึงได้แต่ขับเน้นให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ฉลาดรอบรู้พอที่จะเป็นนายกฯ หรอก ไม่ได้เป็นคนทำนโยบายและกำกับการขับเคลื่อนให้นโยบายนั้นสัมฤทธิผลหรอก แยกกันอยู่ แยกกันทำ หลายเรื่องจึงต้องแจกลูกให้รัฐมนตรีมาตอบ เสมือนว่าบ้านนี้เมืองนี่มีนายกฯ ไว้แค่เปิดงานกับ “บ่น” ครั้นถามถึงการทำงาน ว่าทำไมทำอย่างนี้ ไม่ทำอย่างนั้น ก็ต้องให้รัฐมนตรีตอบ นายกฯ จึงเหมือน “พรีเซ็นเตอร์ของรัฐบาล” ในขณะที่คนทำงาน คือ รัฐมนตรีกับข้าราชการประจำ นี่คือความน่าเป็นห่วงของประเทศไทย
3) เห็นด้วยว่า ยุทธพงษ์ จรัสเสถียร นั้นบ้าน้ำลายมากกว่าให้เนื้อหา วกไปวนมา เรื่องเก่าเรื่องส่วนตั่วมั่วปนๆ กันเข้าไป แล้วอาศัยความไร้มารยาท น่ารำคาญ น่าหมั่นไส้ ให้คนพูดถึง ซึ่ง สส. หลายคนในปัจจุบัน เข้าใจผิดเสมอว่า วิธีการแบบนี้ทำให้ตัวเองเป็น “ดาวสภา” และเห็นด้วยกับประธานชวน หลีกภัย ที่ว่า ทำไมสมาชิกไม่ประท้วงเรื่องการพูดวกวนซ้ำซาก แต่ไปประท้วงเรื่อง “คุณประยุทธ์” หรือ ต้อง พล.อ.ประยุทธ์ ที่ประธานก็วินิจฉัยไปแล้วว่า ให้มันส่อมารยาทส่วนบุคคลไปก็แล้วกัน ประธานไปบังคับให้เขาเรียกยศนำหน้าไม่ได้หรอก และคำว่าคุณก็ไม่ใช่คำหยาบคาย หรือเป็นการเรียกที่ข้อบังคับบอกได้ว่าผิด ว่าห้ามทำ
4) การที่อดีต สส.ของพรรคอนาคตใหม่นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กล่าวแนะนำตนเอง ด้วยการต้องพูดเหมือนๆ กันว่า “พรรคที่ได้รับเสียงจากประชาชนจำนวน 6 ล้านกว่าเสียง แต่ถูกศาลรัฐธรรมนูญ 7 ท่าน วินิจฉัยยุบพรรค” ไม่ได้เท่ เก๋ไก๋อะไร ควรต้องถูกประธานสั่งห้ามด้วยซ้ำไป เพราะที่นี่เป็นที่ประชุมของฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ไม่ควรเสียดสีฝ่ายบริหารด้วย “ตรรกะป่วย” เรื่องจำนวนคนเลือก กับจำนวนคนยุบ มีศาลที่ไหนในโลกนี้ ใช้คนเป็นล้านตัดสินบ้างล่ะ ต่อให้คุณจะไม่พอใจการถูกยุบพรรคอย่างไรคุณก็ไม่มีสิทธิ์เอาสภาฯ ซึ่งเป็นที่ทำการของฝ่ายนิติบัญญัติมาระบายอารมณ์ ที่ไม่ตั้งอยู่บนหลักของความมีเหตุมีผล และกระทบกับฝ่ายตุลาการแบบนี้ ก็อีตอน กกต. แค่ไม่กี่คนรับรองผล ทำไมไม่พูดบ้างละ ว่าคนเป็นล้านเลือกคนแค่ไม่ถึงสิบคนประกาศรับรอง นี่จึงเป็นเรื่องเลอะเทอะที่ประธานสภาฯปล่อยปละละเลยให้เกิดขึ้น
5) ส่วนคุณมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อภิปรายดีน่าฟัง ได้ความรู้ ได้ประเด็น แต่มันก็ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจอยู่ดี มันคือ “มิ่งขวัญโชว์” มิ่งขวัญ“เดี่ยวไมโครโฟน”
ดังนั้น การที่ฝ่ายค้านไม่มีประเด็นที่ชวนให้รู้สึก “ไม่ไว้วางใจ” ได้ การอภิปรายจึงเหมาะแก่การนั่งถักไหมพรม หรือโครเชต์ฟังไป ตบยุงไป รอให้ “คนไข้” ระบายความเครียดจนครบตามเวลาแล้ว ก็ปิดประชุม อะไรทำนองนั้น
ส่วนการอภิปรายนอกสภา กรณี นายสุภรณ์อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขานุการทีมวอร์รูมนอกสภาของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) บอกว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถือเป็นมวยล้มต้มคนดู โดยเฉพาะการทำหน้าที่ของขุนพลฝ่ายค้าน อย่าง นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ที่ทำหน้าที่น่าผิดหวัง ไม่สมดังที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย ให้คำมั่นไว้ ซึ่งไม่ทราบว่า ร.ต.อ.เฉลิม ฝีไม้ลายมือหดหายไปไหนแล้ว หรือมุ่งแต่เอาใจและเป่าหูนายใหญ่ เพื่อแก่งแย่งอำนาจกับเจ้าแม่บางคนในเพื่อไทยอยู่ในเวลานี้หรือไม่
ขณะที่การทำหน้าที่ของนายยุทธพงศ์ ตนรู้สึกอับอายแทนคนอีสาน เพราะทำตัวได้เสียมารยาท และ ยังขาดวุฒิภาวะ จนทำให้เกิดการประท้วงในสภาฯ หลายครั้ง จนทำให้ชาวบ้านเอือมระอา โดยเฉพาะพี่น้องชาวมหาสารคาม ที่อายแทนผู้แทนของพวกเขา ที่ทำหน้าที่อย่างไร้ราคา จนกระทั่งต้องโทรศัพท์ฝากมาที่ตนให้ช่วยขอบคุณนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ช่วยอบรมและเตือนสตินายยุทธพงศ์ ให้ขึ้นมาจากน้ำเสียทีพร้อมทั้งชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ที่ทำหน้าที่ได้สมศักดิ์ศรี ชี้แจงข้อเท็จจริงทุกประเด็นแบบเนื้อๆ ไม่เน้นน้ำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดินพ่อ หรือ เรื่องเช่าพื้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ด้วยคนที่มีวุฒิภาวะทั้งกิริยาและทางวาจา ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“การอภิปรายของฝ่ายค้านมุ่งแต่กล่าวหารัฐบาลจนเกิดความสับสน นำเสนอข้อมูลเท็จ เป็นการเมืองแบบเก่ามุ่งใส่ร้ายป้ายสี จนลืมไปว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาล้วนมาจากรัฐบาลในอดีตที่สร้างความเสียหายให้ประเทศอย่างไม่สามารถจะประมาณการณ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น ในโครงการรับจำนำข้าว หรือ การออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยเพื่อช่วยเหลือนายใหญ่เพียงคนเดียว ซึ่งการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านนอกจากพลาดเป้าแล้ว ยังย้อนกลับมาปลิดชีพตัวเองอีกด้วย จนเป็นเหตุให้สื่อมวลชน และคอลัมนิสต์ หลายสำนัก พาดหัวในทำนองเดียวกันว่า “ยุทธการอรุณรุ่งริ่ง” , “อรุณร่วง”และ ขุดโกง-นิรโทษกรรมตอกกลับฝ่ายค้าน” เป็นต้น”นายสุภรณ์ กล่าว
ประเด็นเดียวที่อยากจะแย้งนายสุภรณ์ก็คือ ทั้งสุภรณ์และยุทธพงศ์ไม่ใช่ “ตัวแทนแต่เพียงผู้เดียวของคนอีสาน” จะวิจารณ์ประเด็นไหนก็วิจารณ์ไป แต่ไม่ต้องไปลากพา “ความเป็นคนอีสาน” มายุ่งยากกับเรื่องนี้ด้วย ไม่ต้องเสนอหน้าสถาปนาตนเองว่าเป็น “คนอีสานดี” แล้วกดหัวยุทธพงศ์ให้เป็น “คนเลวที่คนอีสานอับอาย”
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ หาได้เกี่ยวกับความเป็นคนอีสานแต่อย่างใดไม่ #เข้าใจตรงกันนะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี