วันนี้ ลุ้นมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 (มาตรการระยะสอง) จะเข้า ครม.หรือไม่?
จับน้ำเสียงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอุตตม สาวนายน (ซึ่งไม่ติดเชื้อโควิด-19 แต่มีคนไปปล่อยข่าวเท็จให้ร้าย) น่าจะมาแบบชุดใหญ่ไปกะพริบ ครอบคลุมการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบด้านต่างๆ “ทั้งรายได้ ภาระค่าใช้จ่ายและอื่นๆ โดยพยายามให้ครอบคลุมทุกกลุ่มครับ”
แต่ดูจากการแสดงความคิดเห็นในโลกออนไลน์ คนจำนวนไม่น้อย ยังสะท้อนความเห็นราวกับว่ายังไม่มีมาตรการช่วยเหลือใดๆ อะไรออกมาเลย
สะท้อนว่า คนจำนวนมากยังไม่ทราบว่า มีมาตรการช่วยเหลือออกมาไม่น้อยแล้ว เริ่มมีคนเข้าโครงการแล้ว
วันนี้ ขออนุญาตรวบรวมมาย้ำเตือน เพื่อช่วยให้บอกต่อสิทธิประโยชน์ที่จับต้องได้ในยามยากลำบากเช่นนี้
1. พักต้น ลดดอก ขยายเวลาชำระหนี้บ้าน หนี้รถ หนี้บัตรเครดิต ฯลฯ
เรื่องนี้ มีคนแสดงความเห็นเรียกร้องกันมาก ซึ่งล่าสุด เริ่มดำเนินการแล้ว
ใครมีหนี้ผ่อนรถยนต์ ผ่อนบ้าน แล้วได้รับผลกระทบจากโควิด-19 คุณสมบัติเข้าเกณฑ์ (ซึ่งเปิดกว้างมาก) ก็สามารถเข้าร่วมโครงการ
ยกตัวอย่าง หนี้ที่เคยต้องผ่อนรถ เดือนละ 8,000 บาท (สมมุติ) ก็ไม่ต้องผ่อนไป 6 เดือน ได้หายใจหายคอกันบ้าง หรือหนี้ผ่อนบ้าน หนี้บัตรเครดิต
ก็เช่นกัน เป็นต้น
เนื่องจากรายละเอียด ติดตามมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อัพเดตล่าสุดได้จากเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย https://bit.ly/32gPSZi หรือสามารถติดต่อธนาคารสาขาที่ท่านใช้บริการ หรือ call center เพื่อขอรับบริการ หากเข้าข่ายมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่แต่ละธนาคารกำหนด จะสามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้โดยไม่เสียเครดิตทางการเงิน #แบงก์ชาติ #มาตรการช่วยเหลือ #ลูกหนี้ #สถาบันการเงิน#ภัยแล้ง#โคโรนา #COVID-19 #COVID
หรือง่ายที่สุด ท่านสามารถใช้สมาร์ทโฟนสแกน QR code ข้างบนนั้นเข้าไปดูรายละเอียดได้เลย
มาตรการนี้ สืบเนื่องจากนโยบายรัฐบาล และที่สำคัญ คือ แบงก์ชาติ ในการผ่อนปรนเงื่อนไขทางการเงินแก่สถาบันการเงิน ทำให้สถาบันการเงินไปผ่อนปรนต่อให้ลูกหนี้
2. ปัญหาอย่างหนึ่งสังคม คือ เวลาที่มีการพูดถึงมาตรการช่วยเหลือใดๆ ก็ตาม มักจะมีนักการเมืองบางกลุ่ม แสดงตนเป็น “ผู้รู้มาก” ออกมาตำหนิ หรือขัดขวาง ด้วยวิธีการไปยกเอาประชาชนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของมาตรการนั้นมาอ้างว่าไม่ได้รับประโยชน์!!!
ทั้งๆ ที่ มาตรการมีหลายเรื่อง แต่ละเรื่องมีกลุ่มคนเป้าหมายแตกต่างกันไป
ข้อเขียน “พลังเครื่องมือการเงินการคลังยับยั้งผลกระทบ COVID-19” โดย ดร.ฐิติมา ชูเชิด ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้อธิบายแจกแจงปมปัญหาเศรษฐกิจ และรวบรวมมาตรการการเงินการคลังที่ออกมาแล้ว เริ่มดำเนินการแล้ว ว่าจะมีส่วนบรรเทาผลกระทบได้อย่างไร ประชาชนจะได้อะไร
บางส่วนบางตอน ควรแก่การรับรู้ ดังนี้
“...เศรษฐกิจไทยเจอมรสุมหลายลูกพัดผ่านเข้ามา
ปีที่แล้วก็โดนหางเลขจากสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน ทำให้ส่งออกไทยหดตัว
ปีนี้มาเจอภัยแล้ง ที่ส่อเค้าว่าจะรุนแรงนานถึงกลางปี การผ่านร่าง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2563 ที่ล่าช้ากว่าปกติเพราะเกิดสะดุดในช่วงต้นปีทำให้รัฐบาลใช้จ่ายได้ไม่เต็มที่
ล่าสุด มาเจอไวรัส COVID-19 ที่แพร่ระบาดจากจีนไปทั่วโลกทำให้การท่องเที่ยวไทยซบเซา โยงไปถึงการผลิต การลงทุน และการบริโภค กระทบต่อรายได้ธุรกิจและแรงงานเป็นวงกว้างขึ้น
ตั้งแต่ต้นปีมานี้ ภาครัฐได้เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้อย่างต่อเนื่อง
วันนี้ จึงอยากชวนทุกท่านลองดูว่า ภาครัฐร่วมมือกันทำอะไรไปบ้างแล้วเพื่อให้เท่าทันสถานการณ์และรับประโยชน์จากมาตรการที่ออกมาได้ ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
1. มาตรการการเงินช่วยเสริมสภาพคล่องและแบ่งเบาภาระ
รัฐบาล ออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจาก COVID-19 ผ่านธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Soft Loan) คิดอัตราดอกเบี้ย 2% ระยะเวลา 2 ปี รายละไม่เกิน 20 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อรวม 150,000 ล้านบาท มาตรการพักต้น ลดดอกเบี้ย และขยายเวลาชำระหนี้ให้ลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 รวมถึงให้สินเชื่อใหม่ช่วยเสริมสภาพคล่อง มาตรการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงานต่อของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) คิดอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3% ระยะเวลา 3 ปี สำหรับผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนประกันสังคม วงเงินสินเชื่อรวม 30,000 ล้านบาท มาตรการค้ำประกันสินเชื่อผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ภายใต้โครงการ “บสย. SMEs สร้างไทย ต่อเติม เสริมทุน” สำหรับลูกค้า SMEs รายปัจจุบันและรายใหม่ที่ได้รับผลกระทบ โดยให้วงเงินค้ำประกันเต็มจำนวนเงินกู้ใหม่ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลา 10 ปี ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2 ปีแรก วงเงินค้ำประกันสินเชื่อรวม 60,000 ล้านบาท และให้ขยายระยะเวลาโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะ 5-7 ที่มีอยู่เดิมไปอีก 5 ปี และฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน
แบงก์ชาติออกมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจ ระยะเวลา 2 ปี ช่วยเหลือลูกหนี้ทุกประเภท เช่น (1) ลูกหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล สามารถขอผ่อนบัตรเครดิตขั้นต่ำน้อยกว่า 10% ของยอดที่ค้าง ขอเปลี่ยนหนี้เป็นสินเชื่อระยะยาวที่ดอกเบี้ยถูกลง (2) ลูกหนี้สินเชื่ออื่นๆ สามารถเจรจาประนอมหนี้ เช่น ขอขยายเวลาชำระหนี้ ขอต่ออายุวงเงิน ขอเปลี่ยนหนี้เป็นสินเชื่อระยะยาว ขอชำระหนี้แบบปลอดเงินต้น ขอลดดอกเบี้ย/เบี้ยปรับ/ค่าธรรมเนียม โดยแบงก์ชาติลดความเข้มงวดของเกณฑ์กำกับดูแลการจัดชั้นลูกหนี้ของสถาบันการเงินลง เพื่อลดผลกระทบความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้ที่จะเกิดขึ้นกับสถาบันการเงินในช่วง 2 ปีนี้
2. มาตรการภาษีช่วยบรรเทาผลกระทบให้ผู้ประกอบการ รัฐบาลออกมาตรการคืนสภาพคล่อง ลดอัตราภาษี ณ ที่จ่ายจาก 3% เหลือ 1.5% ของเงินได้พึงประเมินช่วงเม.ย.-ก.ย. 2563 มาตรการลดภาระดอกเบี้ยให้ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการ Soft Loan หักลดหย่อนภาษีจากรายจ่ายดอกเบี้ยช่วง เม.ย.-ธ.ค. 2563 ได้ 1.5 เท่า มาตรการส่งเสริมเสถียรภาพการจ้างงาน SMEs หักลดหย่อนภาษีจากรายจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนได้ถึง 3 เท่า
3. มาตรการอื่นๆ ช่วยลดภาระผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป เช่น
มาตรการขยายเวลายื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2562 ออกไป 3 เดือนเป็นภายใน มิ.ย. 2563 มาตรการบรรเทาภาระค่าน้ำค่าไฟฟ้า ขยายเวลาชำระ และคืนค่าประกันการใช้น้ำ ใช้ไฟฟ้า ลดค่าน้ำและค่าไฟ 3% เป็นเวลา 3 เดือน (เม.ย. - มิ.ย. 2563) ขยายเวลาชำระค่าน้ำและค่าไฟสำหรับธุรกิจโรงแรมและกิจการให้เช่าพักอาศัย โดยให้ผ่อนผันได้ไม่เกิน 6 เดือนของแต่ละรอบบิล ไม่คิดดอกเบี้ย สำหรับใบแจ้งค่าน้ำค่าไฟรอบเดือน เม.ย. - พ.ค. 2563 มาตรการลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมจาก 5% เหลือ 4% เป็นเวลา 6 เดือนในช่วง มี.ค. - ส.ค. 2563
4. นโยบายการเงินผ่อนคลายเป็นพิเศษและนโยบายการคลังเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ
แบงก์ชาติได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกันตั้งแต่ COVID-19 ยังไม่แพร่ระบาดรุนแรงมากจนอยู่ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เหลือ 1.00% เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2563 และเหลือ 0.75% ตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค. 2563 ซึ่งต่ำกว่าระดับในช่วงวิกฤติการเงินโลกปี 2552 ที่ 1.25% เพื่อช่วยให้ภาวะการเงินในประเทศผ่อนคลายขึ้นอีก ช่วยเสริมแรงมาตรการการเงินในข้อ 1 และช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลหากต้องกู้เงินเพื่อเร่งใช้จ่าย
นโยบายการคลังเร่งจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า แม้การออกใช้ พ.ร.บ. งบประมาณปี 2563 จะสะดุดเมื่อต้นปี แต่ก็สามารถเร่งกระบวนการพิจารณาใหม่ได้เร็ว ทำให้ประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณช้ากว่าเดิมไปอีกเดือนเดียว จากนั้นรัฐบาลได้ออกมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายในช่วง 7 เดือนที่เหลือของปีงบประมาณ โดยลดขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างให้สั้นลงและเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนโครงการใหม่ให้เร็วขึ้น
แม้เศรษฐกิจไทยอาจโชคไม่ดีที่พึ่งพาการท่องเที่ยวจากจีนเยอะ และเหลือ policy space ของนโยบายการเงินผ่านเครื่องมืออัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่มาก แต่ยังโชคดีที่ policy space ของนโยบายการคลังยังพอมี และภาครัฐยังสามารถออกชุดมาตรการการเงินการคลังช่วยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเป็นระยะ เราจึงควรติดตามการผนึกพลังเครื่องมือการเงินการคลังของภาครัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากชุดมาตรการช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา และช่วยกันสะท้อนให้ภาครัฐรู้ว่ายังต้องเร่งทำอะไรเพิ่มอีก เพื่อบรรเทาสถานการณ์ให้ได้ผลจริงและตรงจุดมากขึ้น”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี