3 เมษายน 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเย็นที่ผ่านมา บรรยากาศที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เกิดเหตุวุ่นวายขึ้น หลังจากมีเที่ยวบินผู้โดยสารจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น เดินทางมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และผู้โดยสารรวมแล้วกว่า 100 คน จะต้องเข้าสู่มาตรการกักตัว ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และประกาศของสำนักงานการบินพลเรือน หรือ กพท. โดยจะต้องนำผู้โดยสารเหล่านี้ ไปกักตัวในสถานที่ ที่กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานด้านความมั่นคงเตรียมไว้
อย่างไรก็ตาม ผู้โดยสารกลุ่มนี้ได้ปฏิเสธ ที่จะเข้าสู่กระบวนการกักตัว และเกิดโต้เถียงกันยืดเยื้อนานกว่า4 ชั่วโมง ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป และเกิดความตึงเครียดขึ้นโดยกลุ่มผู้โดยสารระบุว่าไม่ทราบประกาศเรื่องของการกักตัวผู้โดยสารที่เดินทางมาถึงประเทศไทยทุกเที่ยวบิน
มีผู้โดยสารบางส่วนได้ เดินทางออกไปจากสนามบินได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอยู่ระหว่างตามตัวให้ผู้โดยสารเหล่านี้ กลับมาเข้าสู่กระบวนการกักตัว เพราะไม่เช่นนั้นก็จะทำให้ผู้โดยสารกลุ่มอื่น ที่เดินทางมาในวันนี้ และต้องยอมรับมาตรการการกักตัวที่ภาครัฐประกาศไว้เหมือนได้รับการเลือกปฏิบัติ ขณะที่เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขก็มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 (ที่มา : แนวหน้าออนไลน์)
ขณะเดียวกัน ผู้ใช้เฟซบุ๊ครายหนึ่ง ได้โพสต์ข้อความบอกเล่าสถานการณ์คนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วประท้วง มีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่ กรณีไม่ยอมกักตัวตามมาตรการของรัฐ ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่หน้างานเองก็ไม่มีความชัดเจนในขั้นตอนการดำเนินงาน ทำให้รู้สึกกังวล ดังนี้
“ผมถึงไทยแล้วนะครับ แต่เจอเรื่องแอบจี๊ด..ก่อนอ่าน พวกผมถึงที่กักตัวแล้วที่สัตหีบ กลุ่มที่กลับบ้านคืออีกกลุ่มนะครับ ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเดินทางกลับก่อนรัฐบาลจะประกาศมาตรการงดกลับไทยครับ เพิ่งมารู้ตอนต่อเครื่อง เพราะต่อเครื่องต้องรอ 11 ชม. ครับ ผมยินดีโดนกักตัวครับ ไม่ว่าจะที่ไหน มาถึงสนามบินเขากักตัวผู้โดยสารไว้ ซึ่งผมเข้าใจมาตรการ และยินดีครับ ตั้งแต่บ่ายโมงเจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเลย จนกระทั่งมีคนโวยวายเจ้าหน้าที่เลยบอกว่า ใครอยู่กรุงเทพฯ ให้ญาติมารอรับได้เลย ผมก็ดีใจครับ ทุกคนก็ดีใจ ถามเจ้าหน้าที่ว่าจะทำอะไรบ้าง ทุกคนตอบไม่ได้ เหมือนไม่ได้ประชุมกันมาก่อน
เจ้าหน้าที่ให้ทุกคนขึ้นรถทัวร์มาที่สถานีดับเพลิงสุวรรณภูมิ พวกเรานั่งรอกันที่สนามบินตั้งแต่บ่ายโมง จนบัดนี้ 1 ทุ่มแล้ว ก็ยังไม่มีข่าวใดๆ ว่าเขาจะเอาอย่างไรกันแน่นั่งรอไปก็ไม่ได้มีอะไรคืบหน้าเลย ไม่ประกาศอะไร ผมถามพี่ๆ เขาอย่างสุภาพ ว่าผมควรให้พี่สาวที่จะมารับกลับไปก่อนมั้ยครับ พี่ตำรวจก็บอกว่า พวกคุณน่ะมันสบาย หย่อนยานแล้วก็เดินไป ปล่อยไว้งงๆ เหมือนทำอะไรผิด งอนกูทำไม?? ในที่สุดเขาบอกว่าจะพาพวกเราไปตรวจโรค โอ้ ดีเลยต้อนให้นำกระเป๋าขึ้นรถ เรียกชื่อทีละคน ญาติๆ บางคนก็มารอตั้งแต่เช้าก็รอไปสิ ไม่มีคำตอบให้ ถามพี่เขาว่าจะพาไปตรวจที่ไหน พี่เขาไม่ตอบ เงียบๆ และเดินไป แปลกๆ 5555
พอทุกคนขึ้นรถ เจ้าหน้าที่ได้ประกาศจะพาทุกคนไปกักกันที่ชลบุรี คนก็โวยวายดิ เหมือนโดนหลอกอะ ให้ความหวังเราทำไม เจ็บใจนะรู้ป่าว ผมยินยอมโดนกักกันครับ เป็นมาตรการที่ดี เห็นด้วย ไม่ว่าที่บ้านหรือที่ไหน เตรียมใจมาอยู่แล้ว แต่ไม่ชอบวิธีการต้อนคนเป็นหมูเป็นหมาอย่างนี้เลย หลอกทุกคนให้ไม่โวยวายหรอ นึกถึงเรื่องคนยิวที่ทหารบอกว่าจะพาไปอาบน้ำ ทุกคนก็ดีใจ สุดท้ายโดนรมควันอะไรแบบนั้น คือเสียความรู้สึกอะ
อารมณ์ตอนนี้เหมือนแบบเรียนคาบวิทย์ไม่รู้เรื่องมา6 ชม. ตัดสินใจถามครูแล้วครูไม่ตอบอะ ครูหาว่าเราหย่อนยานงงโว้ย เรียนไม่รู้เรื่อง เปรียบเทียบอารมณ์เฉยๆ นะอาจารย์ผมสอนดีทุกคน 555 เออ ตอนนี้พี่สาวผมมารอ มาให้กำลังใจ ได้เห็นหน้าก็ดีใจครับ 5555 ถ้าท่านอ่านจบ ผมขอโทษที่ต้องกลับไทย ณ เวลานี้ ผมทำตามกฎระเบียบแล้ว ถ้าจะด่าก็ด่าใจเยลๆ นาจ๊ะ”
เราเห็นอะไร และควรคิดอะไรจากเรื่องนี้
1) มาตรการหรือคำสั่งตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินนี่ต่อรองกันได้ด้วยหรือ (วะ) ถึงขนาดที่สื่อบรรยายว่า“...เกิดโต้เถียงกันยืดเยื้อนานกว่า 4 ชั่วโมง ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปและเกิดความตึงเครียดขึ้น...” นี่คือ “คำสั่ง” ตามกฎหมาย ไม่ใช่ประกาศเชิญชวน ขอความร่วมมือ หรือมีแพคเกจให้เลือก ความเด็ดขาดของการบังคับใช้อยู่ที่ไหน 4 ชั่วโมงที่สูญเปล่านั้นคืออะไร? ถ้าใช้เวลานั้นนำตัวขึ้นรถ อย่าว่าแต่สัตหีบที่เป็นที่กักตัวเลย ไปถึงเขมรก็ยังได้
2) การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยก็ดี ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองก็ดี สายการบินก็ดี เข้าใจมาตรการตรงกันไหม ว่าเมื่อเครื่องลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ ภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขั้นตอนหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ที่แต่ละหน่วยจะต้องสื่อสารและปฏิบัติ คืออะไร จะส่งต่องานกันอย่างไร เช่น สายการบินต้องสื่อสารแนวทางการปฏิบัติให้ผู้โดยสารทราบตั้งแต่เครื่องจะลงจอดไหม จากนั้น การท่าอากาศยานจะจัดเตรียมสถานที่ตรงจุดไหนเพื่อรวมคนรวมสัมภาระ พร้อมๆ กับประกาศให้ญาติที่มารอรับผู้โดยสารทราบว่าจะต้องทำอย่างไร ด้วยเหตุผลใด ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองต้องทำอะไร และหน้าที่ในการนำคนไปสู่สถานที่กักตัวเพื่อดูอาการ 14 วัน เป็นหน้าที่ของใคร เขาต้องเตรียมอะไรให้พร้อมบ้าง รับคนรับสัมภาระจากตรงไหน เดินผ่านจุดใด เพื่อไปยังจุดใด มาตรการพวกนี้ต้องพร้อม ก่อนผู้โดยสารจะมาถึง ไม่ใช่หรือ? และผู้โดยสารมีหน้าที่ “ต้องปฏิบัติ” บนการ “อำนวยความสะดวก” ที่พร้อมสรรพ ใช่หรือไม่? ไม่ใช่ต้องมายืนเจรจากัน 4 ชั่วโมง
3) คุณจะมาคาดหวังว่า เฮ้ย!! มึงควรจะรู้ข่าวสารตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องมาเมืองไทยกันแล้ว และให้ความร่วมมือซะดีๆ ไม่ได้ แม้ความจริงมันควรจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่การ “ทวน” information คือ ข้อมูลข่าวสารที่ว่า ก็เป็นหน้าที่ที่เราต้องทำใช่ไหม เพื่อให้การปฏิบัติลุล่วงได้โดยง่าย เกิดความเข้าใจ และร่วมมือกันอย่างพร้อมเพรียง เพราะเราไม่ได้เอาผู้โดยสารไปขังคุกเอาไปอยู่ในสถานที่รับรอง ที่มีบริการที่ดีตามสมควร ไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อความปลอดภัยในช่วงที่มีโรคระบาด พอการสื่อสารมันขาดตกบกพร่องไป ปัญหามันก็เกิดสิครับ
4) ขาด “ผู้บัญชาการสถานการณ์” ในสถานการณ์นี้ควรรู้ล่วงหน้าว่าผู้โดยสารจะมากี่คน คนไทยเท่าไหร่คนต่างชาติเท่าไหร่ ผู้บัญชาการสถานการณ์จะขอให้ฝ่ายการบิน แจ้งข้อมูลไปยังผู้บังคับการบิน ให้สื่อสารกับผู้โดยสารล่วงหน้า แล้วประเมินสถานการณ์ได้ว่า ผู้โดยสารมีปฏิกิริยาอย่างไร เพื่อเตรียมการรองรับ ก่อนจะออกมานอกเขตที่จะเล็ดลอดหลบหนีได้ แล้วก็วนไปยังข้อที่ 2) ที่กล่าวมาแล้ว ครั้นเกิดปัญหาที่หน้างาน หากมีผู้มีอำนาจ “บัญชาการ” ที่ชัดเจน คงไม่ต้องใช้เวลาถึง 4 ชั่วโมงให้คนมันเดือด มันเบื่อ มันพยศ จนควบคุมไม่ได้
5) นี่ยังไม่รวมข้อมูลที่ว่า รถคันที่ขนคนไปส่งสัตหีบ มีจอดให้แวะเข้าห้องน้ำและเข้าร้านสะดวกซื้อระหว่างทางด้วย หากข้อมูลนี้เป็นจริง ลองคิดนะครับว่า คนที่เจอกันในสุขา ในร้านสะดวกซื้อ คือ “ความเสี่ยง” ที่อาจจะได้รับเชื้อโควิด-19 หากคนที่เดินทางมาเหล่านี้มีเชื้ออยู่ใช่หรือไม่ การขนคนจากสนามบินสุวรรณภูมิไปสัตหีบ มันคือ “แผนการ” ที่ถูกต้องแล้วหรือ? ระยะทางที่ไกลอย่างนั้น จะไม่แวะให้คนขี้เยี่ยวบ้างก็คงไม่ได้ มันจึงผิดตั้งแต่การเลือกสถานที่แล้ว ถ้าจะใช้สัตหีบ ก็ควรให้เครื่องบินบินไปลงที่อู่ตะเภา ไม่ใช่สุวรรณภูมิ!!6) แล้วทำไมจะต้องให้คนเลือก ว่าจะไปอยู่โรงแรมในกรุงเทพฯ หรืออยู่ที่ไหน เพราะในข่าวบางข่าวบอกให้ผู้โดยสารเลือก ถ้าเป็นข้อมูลจริง ก็สะท้อนแผนงานหรือการจัดการที่ผิดพลาดอีก จะอยู่ที่ไหน ก็ไม่ได้เปิดให้ใครเข้าเยี่ยมอยู่แล้ว เพราะเราอยู่ในมาตรการ “ลดการพบกัน” ดังนั้น เมื่อตรวจสอบจำนวนผู้โดยสารแล้ว ก็กำหนดเสียเลยว่า จะให้ใครไปอยู่ที่ไหน มาถึงก็อำนวยความสะดวก นำส่ง พร้อมกับอธิบายกติกาไปเลย จบ!!7) สุดท้าย สังคมไทยก็มานั่งก่นด่าคนที่ไม่ให้ความร่วมมือ ว่าเลว ว่าไร้ความรับผิดชอบ ไร้สำนึกใช่ มันต้องถูกด่าแหละ แต่จะยกให้เป็นความผิดพลาดของคน (Human Error) อย่างเดียวไม่ได้ เพราะระบบมันก็ห่วย!! ออกประกาศ แต่ฝ่ายปฏิบัติไม่พร้อม ระบบไม่รองรับ มั่ว แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเรื่อยๆ เจอคนไม่มีสำนึก ไม่มีวินัยเข้า ก็ยิ่งป่วน เหมือนต้อนม้าเข้าคอกถ้าระบบมันดี ผู้ปฏิบัติมันพร้อม ม้าพยศกี่ตัวก็คุมได้ ว่ามั้ย?เพราะเราสร้างระบบมาคุมม้าพยศ ไม่ใช่ม้าดี เราจึงต้องคำนึงอยู่เสมอว่า มันจะมีม้าพยศ ถ้ามันพยศ ระบบจะทำยังไงที่จะป้องกันหรือจัดการกับมัน เพื่อไม่ให้ม้าดีต้องติดโรคไปด้วย นี่คือ “วิธีคิด” ที่ถูกต้อง
8) เมื่อระบบมันโหว่ จนมีม้าพยศ “แหกคอก” ออกไปได้แล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการ “ตามแก้” พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) แถลงข่าวศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ว่า หลังจากเหตุการณ์ที่สุวรรณภูมิ ผบ.สส. และ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ตนไปร่วมอำนวยการกับทางผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ร่วมกับคณะศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน หลังจากนั้นมี 1 ไฟลท์ที่กลับมารวมกัน ระหว่างต่อเครื่องบินมาจากอเมริกา, เกาหลี รวม 214 คน เราก็ได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้โดยสารชุดสุดท้ายเมื่อคืนเป็นที่เข้าใจเรียบร้อย ได้นำผู้โดยสารจำนวนดังกล่าวไปยังสถานกักกันของทางรัฐที่ อ.สัตหีบ เรียบร้อย เสร็จสิ้นในเวลาประมาณ 01.00 น. ได้รับความร่วมมืออย่างดี
ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวเตือนผู้ฝ่าฝืนการกักตัวว่า อยากฝากกรณีที่ท่านไม่ยินยอมกักกันของทางรัฐ อาจเข้าข่ายความผิดฝ่าฝืนคำสั่งของคณะกรรมการควบคุมโรค เรื่องนี้ทาง ตร. ได้รับคำสั่งให้ไปร่วมติดตามตัวผู้ที่ยังฝ่าฝืนอยู่ทราบว่าขณะนี้มีการมารายงานตัวแล้ว 6 คน เหลืออีก 152 คนเราก็จะร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายอื่นเพื่อเข้าไปติดตามตัวมา เรารู้ชื่อที่อยู่หมดแล้ว ถ้าประสงค์จะรายงานตัว ในส่วนของต่างจังหวัดขอให้ไปที่ศูนย์ดำรงธรรม ศาลากลางทุกจังหวัด ส่วนกรุงเทพฯ เตรียมที่รองรับไว้แล้ว ขอให้ติดต่อมาที่ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน จะมีเจ้าหน้าที่รองรับเพื่อไปกักกันในโรงแรมแห่งหนึ่ง
9) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวว่า ในการประชุมศบค.เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (4 เม.ย. 2563) ปลัดกระทรวงสาธารณสุขรายงานตัวเลข 158 คนไทย เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเมื่อคืนวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งต้องรับทราบอยู่แล้วว่าต้องถูกกักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดไว้ แต่เมื่อเดินทางมาถึงมีความไม่เข้าใจและมีการต่อรองไม่ขออยู่ ไม่ร่วมมืออ้างเหตุผลว่าไม่ได้ทราบมาก่อน จะขอกลับไปอยู่บ้านพักตัวเองก่อน ซึ่งมีเพียง 6 รายที่ยินยอมกักตัวอยู่ในพื้นที่รัฐจัดไว้ให้ ในโรงแรมแห่งหนึ่งในกทม. ทั้งนี้ คำสั่งจากที่ประชุมศบค.ระบุว่า ต้องกักตัวในพื้นที่ของรัฐ 100 เปอร์เซ็นต์จึงเรียกอีก 152 คนกับมารายงานตัวทั้งหมดที่กรุงเทพฯ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ หรือถ้ามีการสัมผัสตัวญาติให้มารายงานตัวทั้งครอบครัว จะได้มีการบันทึกสอบสวนโรค หรือโทรศัพท์สอบถามที่เบอร์0-2132-9950 และเบอร์ 063-234-4734 ส่วนคนที่เดินทางไปต่างจังหวัดให้ติดต่อที่ศูนย์ดำรงธรรมภายในจังหวัดภายในเวลา 18.00 น. วันเดียวกันนี้ ถ้าไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยคนในครอบครัวที่ใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยงขอให้กักตัวอยู่บ้านอย่างเคร่งครัด เราไม่อยากให้สูญเสียมากกว่านี้ แม้ท่านบอกว่าท่านแข็งแรงดี ส่วนกรณีคนไทยบางส่วนติดค้างในสนามบินต่างประเทศยังบินเข้าไทยไม่ได้เนื่องจากทางสำนักงานการบินพลเรือน มีประกาศห้ามอากาศยานทำการบินเข้าประเทศไทยชั่วคราวในวันที่ 4-6 เม.ย.นั้น ผู้ที่ติดค้างสามารถติดต่อไปยังสถานทูตประเทศนั้นๆ เพื่อรายงานตัวและขอความช่วยเหลือ ตอนนี้ขอเวลา 3 วัน ไม่ให้มีการนำเข้าอากาศยานมาที่ประเทศไทยเพื่อเตรียมมาตรการรองรับให้เป็นอย่างดี
10) สื่อหลายสำนักนำรายชื่อและที่อยู่ของคนที่หนีการกักตัวมาเผยแพร่ ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในช่วงเวลาของการให้มารายงานตัวได้ ประเด็นก็คือ คนที่หนีการกักตัว เป็นคนทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทางการมีหน้าที่ติดตามตัว หรือประกาศให้มารายงานตัวเพื่อเข้าสู่ระบบการกักตัวและการสืบสวนโรค ไม่ใช่เอารายชื่อมาให้สื่อประกาศแบบนี้ หรือหากสื่อนำมาประกาศเองก็ถือว่าไร้จรรยาบรรณ เพราะคนเหล่านั้นไม่ใช่อาชญากรคดีอาญาที่มีหมายจับ จึงจะนำชื่อที่อยู่ของเขามาปิดประกาศหรือเผยแพร่ได้ ขณะนี้เป็นขั้นตอนของมาตรการตามกฎหมาย ไม่ใช่มาตรการกดดันทางสังคม จนกระทั่งนำข้อมูลส่วนบุคคลมาละเมิดกันได้
ความน่าห่วงของเรื่องนี้ คือระบบที่ควรเป็น “รั้วที่แข็งแรง” ได้กลายเป็นรั้วที่ยังสร้างไม่เสร็จ ปล่อย “กลุ่มเสี่ยง” ออกไปพบปะและปะปนกับคนภายนอก โอกาสของการแพร่กรายเชื้อได้เกิดไปแล้วมากเพียงใด การติดตามตัวคนอื่น ที่เจอกับคนเหล่านั้น เข้าสู่กระบวนการกักโรค จะทำได้ทั่วถึงหรือไม่
เหตุการณ์ที่สนามบินสุวรรณภูมินี้ จึงเป็นบทเรียนให้ทุกฝ่ายต้องนำไปปรับปรุงแก้ไข ต่อไปนี้ทุกๆ คำสั่งที่จะออกมาต้องมีระบบปฏิบัติการรองรับ ไม่ใช่ให้เขาไปคิดกันเอาเอง ว่าสั่งแบบนี้ ต้องทำยังไง แต่ต้องออกแบบมาแล้วทั้งหมด หรือสั่งให้ไปคิด แล้วรายงานกลับมาทันที ก่อนประกาศคำสั่งอย่างเป็นทางการ “ผู้นำ” หรือ “ผู้ออกคำสั่ง” จะได้ไม่เสียหมาโดนด่าอยู่ร่ำไป ว่า ประกาศทีไร ฉิบหายทุกที
สรุป : ผู้นำที่เข้มแข็ง มีวิสัยทัศน์ คำสั่งที่ชัดเจน มีระบบปฏิบัติการที่ดี กับประชาชนที่มีระเบียบวินัย ประเทศชาติจะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็มีปัญหาและจะอยู่ในสภาพ “โทษกันไป โทษกันมา” ว่าปัญหาเกิดจากใคร และจะไม่มีใครยอม “ผิด” เลยสักคน!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี